|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ 5 กรกฎาคม 2548
|
|
อยากรวยจากหุ้นเอเชีย อย่าตามแห่ซื้อหุ้นดัง การลงทุนในหุ้นฮอตในขณะที่มันกำลังฮอต คือหนทางแห่งความหายนะ นี่คือคำกล่าวของ Amit Wadhwaney ผู้จัดการกองทุนรวม Third Avenue International Value Fund ในนิวยอร์ก
ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น เพราะไม่มีวิธีใดอีกแล้ว ที่จะให้ผลตอบแทนการลงทุนที่เลวร้ายในระยะยาว ได้มากเท่ากับการเอาเงินของคุณเข้าไปวางเดิมพันกับหุ้นที่กำลังร้อนแรง
ความบ้าคลั่งของนักลงทุนในการตาม แห่ซื้อหุ้นในตลาดหุ้นเอเชีย หรือลงทุนในสินทรัพย์ที่กำลังร้อนแรงในเอเชีย และผลร้ายที่ตามมา ซึ่งเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา นับเป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างดี
ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนของหุ้นญี่ปุ่นในช่วงปลายทศวรรษ 1980 ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงในช่วงทศวรรษ 1990 การคลั่งไคล้ในหุ้น red chip ของจีนในปี 1996-97 และการพุ่งขึ้นอย่างบ้าคลั่งของหุ้นกลุ่มธนาคารไทย ก่อนที่จะนำไปสู่วิกฤติการณ์การเงินเอเชีย ในช่วงปี 1997-1998
แต่แม้แต่ในขณะนี้ การตามแห่ลงทุนในสินทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่งอย่างบ้าคลั่งก็ยังคงมีให้เห็น และก็ทำท่าว่าจะลงเอยด้วยผลร้ายอย่างที่เราเคยเห็นมาในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการบูมของอสังหาริมทรัพย์ในนครเซี่ยงไฮ้ จนถึงการที่นักลงทุนต่างประเทศกำลังบ้าคลั่งซื้อหุ้นขนาดกลาง (midcap) ซึ่งกำลังร้อนแรงสุดขีดในตลาดหุ้นอินเดีย
แต่สำหรับ Wadhwaney ซึ่งมีอายุ 51 ปี เขาชี้ว่า การลงทุน คือสิ่งที่จะต้องหลีกให้ไกลจากความบ้าคลั่ง และคือการค้นหาหุ้นที่ถูกทิ้งขว้างไร้คนไยดีที่มีราคาถูก ซึ่งก็เนื่องมาจากการ ที่พวกตามแห่ทั้งหลายไม่สนใจมันนั่นเอง
Wadhwaney บอกว่า เขาไม่มีวันซื้อสินค้าชั้นดีเลิศ แต่เขาจะซื้อหุ้นที่เต็มไปด้วยปัญหา หุ้นที่ใครๆ ก็เห็นว่าแย่
แต่หุ้นที่ใครๆ ก็เห็นว่าเน่าเหล่านั้น ได้ทำกำไรให้แก่ Wadhwaney อย่างไม่น่าเชื่อ กองทุนรวมขนาด 1,260 ล้านดอลลาร์ ที่ Wadhwaney บริหารอยู่ ทำกำไรต่อปีเพิ่มขึ้น 22.5% นับตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อกว่า 3 ปีก่อน
ยิ่งวันการซื้อหุ้นที่ใครๆ ก็ส่ายหน้าว่าเน่าของ Wadhwaney ก็ยิ่งดูเหมือนกับเป็นการซื้อโดยไม่ไตร่ตรองและขาดความยั้งคิด
อย่างเช่นในปี 1998 Wadhwaney ซึ่งขณะนั้นกำลังบริหารกองทุนเก็งกำไรกองทุนหนึ่งของบริษัท Third Avenue ได้ทุ่มซื้อหุ้นที่กำลังมีปัญหาภายในขนาดหนัก อย่างหุ้น Noble Group ซึ่งเป็นบริษัทขนส่งและโภคภัณฑ์ที่จดทะเบียนในตลาดสิงคโปร์ ซึ่งกำลังขาดทุนขนาดหนัก
แต่แล้วหุ้นเน่าสุดขีดนี้ กลับทำกำไรให้แก่ Wadhwaney ถึง 50 เท่า Wadhwaney ถึงกับเคยพูดว่า วิกฤติการณ์การเงินเอเชีย เป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมให้เขาได้เลือกซื้อหุ้นที่ใครๆ ก็เมิน
และขณะนี้ก็เช่นเดียวกัน Wadhwaney เห็นว่านักลงทุนกำลังตามแห่กันไปในทิศทางที่ผิด แม้เขาจะเกิดและเติบโตที่ Bombay ศูนย์กลางความเจริญของอินเดีย แต่กองทุนของเขา กลับไม่เคยซื้อหุ้นแม้แต่ตัวเดียวในตลาดหุ้นอินเดีย
Wadhwaney กล่าวว่า คนมักจะยอมจ่ายราคาที่สูงจนน่าขัน เพื่อซื้อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่ Wadhwaney บอกว่า อนาคตคือสิ่งที่กะเกณฑ์ไม่ได้ และการที่คนส่วนใหญ่พยายามจะคาดเดาอนาคต เป็นการหมดเปลืองเวลาโดยเปล่าประโยชน์ เพราะไม่มีใครที่สามารถจะหยั่งรู้อนาคต และทายได้อย่างแม่นยำว่า ตลาดหุ้นจะเป็นไปในทิศทางใด หรือกำไรของบริษัทจะเป็นอย่างไร
เพราะฉะนั้นหลักของการลงทุนคือ "การใส่ใจกับปัจจุบัน" ด้วยการประเมินสินทรัพย์ที่บริษัทมีอยู่ในปัจจุบัน และซื้อหุ้นของบริษัทนั้น เพียงเมื่อสินทรัพย์ของบริษัทต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
จากนั้นวิธีปฏิบัติโดยปกติของ Wadhwaney คือ ถือหุ้นนั้นไว้หลายปี จนกว่าจะถึงเวลาที่ถูกต้อง โดยเขาจะไม่ยอมขาย จนกว่าหุ้นตัวนั้นจะมีราคาพุ่งสูงเกินมูลค่าที่แท้จริงไปมาก
Wadhwaney บอกว่า คนส่วนใหญ่ชอบที่จะเห็นผลเร็ว แต่เขาไม่สนใจการซื้อขายหุ้นบ่อยๆ เป็นเรื่องที่โง่เขลา และเป็นศัตรูของการลงทุนที่ดี
ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้นักล่าหุ้นราคาถูกที่มีความอดทนสูงอย่าง Wadhwaney กำลังซื้ออะไรในเอเชียอยู่ หรือ Wadhwaney แนะนำให้ลองดูหุ้นที่ไร้คนเหลียวแลของญี่ปุ่นอย่าง Asatsu-DK Inc. เอเยนซี่โฆษณา ที่ Wadhwaney บอกว่า รวยเงินสดมากๆ และอยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และที่สำคัญคือ เป็นหุ้นที่ราคาถูกมากๆ
Wadhwaney ยังชอบ Nichicon Corp ผู้ผลิต aluminum capacitor ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่ต้องมีในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แทบทุกอย่าง จริงอยู่ที่ Nichicon อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีช่วงของการรุ่งเรืองและตกต่ำเป็นวัฏจักร และกำลังอยู่ในช่วงตกต่ำสุดขีด แต่ Nichicon ก็เหมือนทุกบริษัทที่ Wadhwaney ซื้อหุ้นไว้ คือมีสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูง ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถอยู่รอดได้อย่างแน่นอน หลังจากที่รอให้ช่วงตกต่ำผ่านพ้นไป
Wadhwaney ยังกล่าวอย่างร่าเริงว่า เขากำลังหวังว่าหุ้น Nichicon จะตกต่ำยิ่งกว่านี้เยอะๆ เพราะว่าเขาจะได้ซื้อหุ้นของบริษัทดังกล่าวได้มากขึ้น
นอกจากนี้ Wadhwaney ยังกำลังซื้อหุ้น Hotung Investment Holdings บริษัท venture capital ของไต้หวัน ซึ่งซื้อขายกันต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงถึงครึ่งหนึ่งของสินทรัพย์ที่จับต้องได้ของบริษัท
Wadhwaney ยังชอบ BIL International บริษัทจดทะเบียนในสิงคโปร์ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินนับหมื่นไร่ในฮาวาย และเชนโรงแรมในลอนดอน ทั้งยังมีรายได้ค่ารอยัลตี้จากการผลิตน้ำมันและก๊าซในช่องแคบ Bass Strait ซึ่งจากการประเมินสินทรัพย์ของบริษัทนี้แบบ "อนุรักษนิยมสุดขีด" ของ Wadhwaney เขาคิดว่า หุ้นตัวนี้ซื้อขายกันในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าสินทรัพย์ปัจจุบันของบริษัทถึง 30%
อีกตัวหนึ่งที่ Wadhwaney สนใจคือ Liu Chong Hing Investments ซึ่งเป็นเจ้าของธนาคาร Hong Kong ซึ่งมีฐานะการเงินเป็นเยี่ยม และบริษัทนี้ยังมีอสังหาริมทรัพย์ในจีนด้วย หุ้นของบริษัทซึ่งจดทะเบียนในฮ่องกง ซื้อขายกันในราคาต่ำกว่ามูลค่าสินทรัพย์สุทธิของบริษัทถึง 50%
สำหรับนักลงทุนหรือนักซื้อหุ้นคนอื่นๆ อาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะสังเกตเห็นว่า หุ้นตัวใดซื้อขายกันต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของมัน แต่ถ้าหากคุณเจอหุ้นที่ราคาถูกอย่างนี้ คำแนะนำเพียงอย่างเดียวของ Wadhwaney ก็คือ "ซื้อ ซื้อ แล้วก็ซื้อแล้วรอ"
น่าทำตามใช่ไหม ไม่หรอก ถ้าหากคุณเป็นคนที่ไม่มีความอดทนพอซึ่งก็เหมือนกับนักลงทุนส่วนใหญ่ แต่ Wadhwaney ไม่แคร์ ถ้าคุณไม่เห็นด้วยกับเขา เพราะเขาบอกว่า "ผมไม่ชอบแกร่วอยู่ในห้องที่มีคนเต็มแน่นไปหมดหรอก"
แปลและเรียบเรียงจาก
Time June, 2005
โดย เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์
|
|
|
|
|