|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
รัฐบาลหืดจับผวาจีดีพีกระทบหนัก หลังน้ำมันขึ้นทุกสัปดาห์ ล่าสุดน้ำมันดิบดูไบเพิ่มจาก 40 ไปอยู่ที่ 50 เหรียญต่อบาร์เรล ฉุดจีดีพีไปแล้ว 1.02% กระทรวงพลังงานเร่งแผนประหยัด หวังนำมาโปะลดผลกระทบจีดีพี พร้อมหวังการลงทุนจากต่างประเทศและการส่งออกช่วย วันนี้เบนซิน-ดีเซลขึ้นอีก 40 สตางค์ต่อลิตร เหตุรัฐลดเงินอุ้มดีเซล เผยยังมีรอบ 2 ในสัปดาห์นี้ “พาณิชย์” กล่อมผู้ผลิตสินค้าตรึงราคาสินค้าให้นานที่สุด รฟม.ยันไม่ขึ้นราคารถไฟใต้ดิน หากยังไม่มีการเก็บค่าไฟฟ้าแบบก้าวหน้า
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงพลังงานจำเป็นต้องเร่งรณรงค์การประหยัดพลังงานแบบเข้มข้น เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ประเมินว่าหากน้ำมันดิบดูไบราคาปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยจาก 45 เหรียญต่อบาร์เรลมาอยู่ที่ 50 เหรียญต่อบาร์เรลจะมีผลกระทบต่อการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ลดลงประมาณ 1.02% ซึ่งหากต้องการจะให้จีดีพีไม่ลดลงจะต้องมีการประหยัดพลังงานให้ได้ 20% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
“ยอมรับว่าขณะนี้น้ำมันดิบดูไบมีการแกว่งตัวในระดับเกินกว่า 50 เหรียญต่อบาร์เรลแล้ว โดยปิดตลาดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเฉลี่ยอยู่ที่ 52 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งมีผลต่อการหดตัวของจีดีพีประมาณ 1.4% แต่ก็ยังหวังว่าตลอดปีนี้ระดับราคาน่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 50 เหรียญต่อบาร์เรล ดังนั้น การลดใช้พลังงานในประเทศ การจัดหาพลังงานทดแทน และดูแลเรื่องการลงทุนจากต่างประเทศ การส่งออก ให้ได้ตามแผนของรัฐบาลก็จะชดเชยได้พอสมควร”แหล่งข่าวกล่าว
**รัฐลดชดเชยดันดีเซลขึ้น40สต.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (27 มิ.ย.) เวลา 06.00 น.เป็นต้นไป ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศได้ปรับเพิ่มขึ้นทั้งเบนซินและดีเซลอีกลิตรละ 40 สตางค์ ส่งผลให้น้ำมันเบนซิน 95 เป็นลิตรละ 24.54 บาท น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ลิตรละ 23.04 บาท น้ำมันเบนซิน 91 ลิตรละ 23.74 บาท น้ำมันดีเซลหมุนเร็วลิตรละ 20.99 บาท/ลิตรยกเว้นปตท.ที่ดีเซลจะต่ำกว่ารายอื่นๆ ลิตรละ 40 สตางค์โดยอยู่ที่ 20.59 บาทต่อลิตร
สำหรับราคาดีเซลที่ปรับขึ้นเป็นผลจากการที่กระทรวงพลังงานได้แจ้งประกาศลดการชดเชยของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลง 40 สตางค์ต่อลิตรมีผลตั้งแต่วันที่ 25 มิ.ย.เป็นต้นไป ส่งผลให้อัตราการชดเชยของดีเซลจาก 1.76 บาทต่อลิตร เหลือ1.36 บาทต่อลิตร มีผลให้ภาระรวมของการชดเชยราคาน้ำมันลดลงจากวันละ 90 ล้านบาท เหลือ 60-65 ล้านบาทต่อวัน และทางรัฐบาลมีเป้าหมายที่จะทยอยลดการชดเชยลงจนเท่ากับศูนย์ ภายในสิ้นปีนี้ โดยคาดว่าเดือนหน้า หากมีจังหวัดจะลดการชดเชยอีก 40-50 สตางค์ต่อลิตร
นายวิเศษ จูภิบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การปรับราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลขึ้นอีก 40 สตางค์ในวันนี้นั้น เป็นเพราะราคาในน้ำมันในตลาดโลกมีราคาที่สูงขึ้น ดังนั้นรัฐบาลจึงจำเป็นที่จะต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของตลาด เนื่องจากหากว่ารัฐบาลตรึงราคาไว้อีกก็จะใช้เงินอีกจำนวนมากในการตรึงราคา และยังจะทำให้ประเทศเสียหายไปด้วย
**ลุ้นดีเซลทะลุ21บาทสัปดาห์นี้
แหล่งข่าวจากวงการน้ำมันแจ้งว่า คาดว่าสัปดาห์นี้ผู้ค้าน้ำมันยังคงต้องพิจารณาปรับราคาขายปลีกน้ำมันเพิ่มอีกลิตรละ 40 สตางค์ทั้งเบนซินและดีเซล เพราะแม้จะมีการปรับราคาแล้ว ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลยังติดลบ 1.14 บาทต่อลิตร เบนซิน ยังติดลบ 25 สตางค์ต่อลิตร และล่าสุดราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์ปิดตลาดเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.ปรับเพิ่มขึ้นทุกผลิตภัณฑ์ โดยดีเซลปรับขึ้น 1.02 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ไปอยู่ที่ 69.20 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เบนซินเพิ่มขึ้น 99 เซนต์ ไปอยู่ที่ 61.90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
**แก๊สโซฮอล์ยังปั่นป่วน
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพ (กชช.) กล่าวว่า วันนี้ (27 มิ.ย.) ที่ประชุมกชช. ซึ่งมีนายพินิจ จารุสมบัติ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน จะมีการสรุปปัญหาราคาเอทานอลที่ผู้ผลิตได้ร้องขอให้เป็นระดับราคา 15 บาทต่อลิตร หลังจากราคารับซื้อ ที่ 12.75 บาทต่อลิตร ครบกำหนด 30 มิ.ย.นี้
แหล่งข่าวจากผู้ค้าน้ำมันกล่าวว่า หากกชช.กำหนดให้ราคาเอทานอลอยู่ที่ลิตรละ 15 บาทจริง ทางผู้ค้าน้ำมันก็คงจะต้องให้รัฐกำหนดการช่วยเหลือจากการเก็บเงินเบนซินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นอีก 10 สตางค์ต่อลิตรเพื่อทำให้ส่วนต่างแก๊สโซฮอล์ (เอทานอลผสมเบนซิน10%) อยู่ที่ 1.50 บาทต่อลิตร ซึ่งล่าสุดสำนักนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.)กำหนดการช่วยเหลือเอทานอลไว้แค่ 14 บาทต่อลิตรเท่านั้น ซึ่งหากรัฐรับปากจะช่วยเหลือก็ไม่มีปัญหาแต่หากไม่ช่วยเหลือผู้ค้าก็คงรับไม่ได้เช่นกัน
**“พาณิชย์”กล่อมตรึงราคานานที่สุด
นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า วันนี้ (27 มิ.ย.) ได้มอบหมายให้กรมการค้าภายในเชิญผู้ประกอบการ และผู้ผลิตสินค้า (ซัปพลายเออร์) มาหารือ โดยจะขอความร่วมมือกับภาคเอกชนให้พยายามตรึงราคาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะหากปล่อยให้มีการเก็งกำไร หรือขึ้นราคาสินค้าเกินความจำเป็น ก็จะทำให้เศรษฐกิจเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ไม่ดี
อย่างไรก็ตาม หากมีความจำเป็นที่สินค้าจะต้องปรับราคาเพิ่มขึ้น ก็จะเข้าไปดูแลในเรื่องต้นทุนเป็นหลัก โดยหากสินค้ารายการใดปรับเพิ่มขึ้นเกินกว่าความจำเป็น ก็จะเข้าไปติดตามอย่างใกล้ชิด
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า ขณะนี้ทางกรมการค้าภายใน ได้ขอความร่วมมือไปยังห้างสรรพสินค้า ดิสเคาน์สโตร์ และซูเปอร์มาร์เก็ต คอยตรวจสอบภาวะราคาสินค้าทั้งหมดที่วางจำหน่ายอยู่ว่ามีสินค้ารายการใดได้ปรับราคาจำหน่ายไปบ้างแล้ว เพราะพบว่ามีผู้ผลิตสินค้าบางราย ปรับขึ้นราคาสินค้า แต่ไม่ยอมแจ้งมายังกรมการค้าภายในให้รับทราบ
สำหรับสินค้าที่ขึ้นราคาทั้งๆ ที่ยังอยู่ในระยะเวลาขอความร่วมมือตรึงราคา อาทิ ผงชูรส เส้นหมี่อบแห้ง กาแฟปรุงสำเร็จ น้ำดื่มบรรจุภาชนะ น้ำยารีดผ้า ปุ๋ย ปูนซีเมนต์ ยางรถบรรทุก เป็นต้น และยังมีรายการสินค้าที่เตรียมจะขอปรับขึ้นราคาสินค้า ได้แก่ ครีมเทียม ผลิตภัณฑ์ถนอมผิว เครื่องปรุงรส อาทิ ซอสมะเขือเทศ และซอสพริก
นายบุญฤทธิ์ มหามนตรี กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทไล้ออน์ ประเทศไทย จำกัด กลุ่มบริษัทในเครือสหพัฒนพิบูลย์ ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ดีที่ให้ห้างฯ ช่วยสอดส่องการปรับขึ้นราคาสินค้า เพราะขณะนี้มีผู้ผลิตหลายรายไม่ยอมแจ้งให้กรมการค้าภายในทราบว่ามีการปรับราคาสินค้าขึ้น
**รถไฟใต้ดินยันไม่ขึ้นค่าโดยสาร
นายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่ายอดผู้ใช้รถไฟฟ้าใต้ดินเพิ่มขึ้นมาก หลังจากที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น โดยมียอดผู้ใช้บริการเฉลี่ยสูงถึง 1.4 แสนคนต่อวัน อย่างไรก็ตาม หากมีการปรับขึ้นราคาไฟฟ้าในอัตราก้าวหน้าจริง ก็จะมีผลกระทบต่อการเดินรถ เพราะในรฟม. มีการใช้ไฟฟ้าทุกระบบ แต่ในเบื้องต้นขอยืนยันในหลักการว่าจะไม่มีการขึ้นราคาค่าโดยสาร แต่รัฐจะต้องให้พิจารณาในเรื่องการชดเชยให้ด้วย
|
|
|
|
|