Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ สิงหาคม 2545








 
นิตยสารผู้จัดการ สิงหาคม 2545
เมื่อนักวิเคราะห์สวมหมวกผู้จัดการตลาดหุ้น             
 


   
search resources

กิตติรัตน์ ณ ระนอง




เห็นบทบาทที่กิตติรัตน์ ณ ระนอง แสดงออกเมื่อภาวะการซื้อขายหุ้นในตลาดเกิดความผันผวนแล้ว ทำให้หลายคน นึกถึงคนที่ชื่อ ดร.มารวย ผดุงสิทธิ์

ดร.มารวยเป็นผู้จัดการตลาดหุ้นคนที่ 5 (2528-2535) ซึ่งเป็นยุคที่ตลาดหุ้นบูมขึ้นมาในรอบที่ 2

การบูมของตลาดหุ้นยุคนั้น เกิดขึ้นท่ามกลางความไม่รู้ และการลองผิดลองถูกของนักลงทุนและคนในวงการ คนที่มี ความรู้อย่างลึกซึ้งในเรื่องหุ้น ยังไม่กระจายออกไปในวงกว้างมาก นัก ดังนั้นเวลาราคาหุ้นในตลาดเกิดความผันผวน นักลงทุนโดย เฉพาะพวกที่เกาะติดสถานการณ์อยู่ตามหน้ากระดาน จึงเป็น ผู้ที่เดือดร้อน และต้องการคำอธิบายมากที่สุด

ช่วงนั้น ดร.มารวยมักจะเล่นบทบาทปลอบขวัญนักลงทุน เวลาที่หุ้นตก หลายครั้งจะเห็นเขาเดินเข้าไปตามห้องค้าของ โบรกเกอร์ต่างๆ ที่กระจัดกระจายรายรอบอาคารสินธร เพื่อให้ กำลังใจนักลงทุน

บทบาทของกิตติรัตน์ ผู้จัดการตลาดหุ้นคนที่ 9 ซึ่งเข้ามา รับภาระท่ามกลางความเชื่อที่ว่า การบูมของตลาดหุ้นรอบที่ 3 กำลังจะเกิดขึ้น

เมื่อเทียบกับ ดร.มารวยแล้ว อาจดูคล้ายกัน แต่เขากล้า ทำมากกว่า

ด้วยความที่เขามีแบ็กกราวน์มาจากนักวิเคราะห์ เขาจึง รู้ดีว่าปัจจัยที่จะมีผลต่อความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น นอกจาก อารมณ์ ความรู้สึกของนักลงทุนแล้ว ข้อมูลข่าวสารเป็นสิ่งที่ สำคัญที่สุด

ช่วงแรกที่เขาเข้ามารับตำแหน่ง เขามักจะนำเสนอข้อมูล ทางสถิติต่างๆ เพื่อยืนยันว่าฐานของราคาหุ้นโดยรวมในตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังอยู่ในระดับต่ำ

เป็นการปูพื้นโดยให้ข้อมูลพื้นฐานในภาพกว้างๆ

แต่ช่วงที่ราคาหุ้นในตลาด ปรับตัวลดต่ำจนทะลุแนวรับที่ 400 จุดลงมาเมื่อปลายเดือนมิถุนายน เขากล้าทำในสิ่งที่ไม่เคย มีผู้จัดการตลาดหุ้นคนไหนเคยทำ ด้วยการออกบทวิเคราะห์ใน นามของตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่งเป็นลักษณะของข่าวแจกไปตาม สื่อต่างๆ ชี้ถึงแนวโน้มของกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำลังจะมีอนาคต

หุ้นในกลุ่มธนาคาร วัสดุก่อสร้างและตกแต่ง ไฟแนนซ์ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และเคมีภัณฑ์ และพลาสติก คือ 5 กลุ่ม อุตสาหกรรม ที่ในบทวิเคราะห์ชิ้นนั้นระบุชัดว่ามีแนวโน้มฟื้นตัว ตามภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ตามแรงผลัก ดันจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

ดูเหมือนเป็นครั้งแรกที่บทวิเคราะห์ที่ออกอย่างเป็นทาง การในนามตลาดหลักทรัพย์ ได้เจาะลึกลงไปถึงหุ้นรายกลุ่ม อุตสาหกรรม จากเดิมมักจะออกมาในลักษณะการวิเคราะห์เชิง มหภาค ด้วยการมองภาพรวมเป็นหลัก

สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น น่าจะเนื่องมาจากผู้จัดการตลาดหุ้น ทุกคนในอดีต มักมีความรู้สึกว่าตนเองเป็นคนที่ถูกส่งเข้ามา โดยทางการ เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแล มากกว่าพัฒนา ดังนั้นจึง ไม่มีใครกล้าที่เข้ามาเล่นบทบาทเชิงชี้นำมากนัก

ผิดกับกิตติรัตน์ ที่เขามาจากภาคธุรกิจ เขาจึงมีแนวคิด และวิธีปฏิบัติที่แตกต่างจากผู้จัดการคนก่อนๆ

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us