ยูนิฟ ระบุปีหน้าตลาดชาเขียวระเลงศึกสงครามราคา หลังตลาดทะยานหมื่นล้าน เร่งปรับโครงสร้างฝ่ายการตลาด รับมือคู่แข่งรายเล็ก-ใหญ่เกิดเพียบ ขอเวลา 1-2 ปี เบนเข็มเอาดีธุรกิจอาหารแช่เย็น นมถั่วเหลือง และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป พร้อมเล็งดึงพันธมิตร 2 ราย เสริมทัพ ตั้งเป้ารายได้ 2 ปี ขยับ 4,000 ล้านบาท
นายทีเซิน หยาง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิ-เพรสซิเดนท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายชาเขียวยูนิฟ กรีนที ชาลีวัง เปิดเผยถึงแนวโน้มตลาดชาเขียวพร้อมดื่มในปีนี้หน้าว่า มูลค่าตลาดจะขยับขึ้นถึง 10,000 ล้านบาท จากปัจจุบันตลาดมูลค่า 5,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 40%ในปีนี้ ซึ่งจากสภาพตลาดชาเขียวพร้อมดื่มที่มีเติบโตทั้งในเชิงมูลค่า 153% และในเชิงปริมาณ 151% ส่งผลให้การแข่งขันมีความรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลยุทธ์การตัดราคา การแข่งขันสร้างตราสินค้า และรสชาติที่มีความหลากหลาย ซึ่งจะเกิดขึ้นในตลาดชาเขียวพร้อมดื่มในปีหน้านี้ อย่างไรก็ตามมองว่าตลาดชาเขียวยังต้องใช้เวลานานกว่าจะเป็นตลาดใหญ่ใกล้เคียงกับน้ำอัดลมซึ่งมีมูลค่าถึง 30,000 ล้านบาท
ส่งผลให้ล่าสุด บริษัทปรับโครงสร้างการตลาดใหม่ เพื่อผลักดันรายได้ในช่วง 2 ปีนี้ เป็นตามเป้าหมายที่วางไว้ 4,000 ล้านบาท จากในปีที่ผ่านมามีรายได้ 2,400 ล้านบาท โดยได้แบ่งงานการตลาดใหม่ออกเป็น 3 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจภายในประเทศ มีนายเดวิด เผย ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายพัฒนาธุรกิจในประเทศ ดูแลการตลาดและกิจกรรมการตลาดภายในประเทศ ผู้มีประสบการณ์ด้านวงการอาหารแช่แข็งและอาหารแช่เย็นกว่า 20 ปี ในไต้หวันและจีนเข้ามารับตำแหน่งแทนที่ นายก้องเกียรติ วัติรางกูร
ขณะที่ฝ่ายวางแผนองค์กร ได้ให้นายก้องเกียรติ วัติรางกูร รับผิดชอบวางแผนการลงทุน การติดต่อขยายธุรกิจร่วมกับพันธมิตรและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ส่วนฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ โดยมีนายธนวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ เป็นผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ ดูแลงานด้านประชาสัมพันธ์และการสื่อสาร ทั้งนี้การปรับโครงสร้างการตลาดในครั้งนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทั้งทีมการตลาดให้มีการตัดสินใจได้เร็วขึ้น และแยกหน้าที่การทำตลาดไว้อย่างชัดเจน ทั้งนี้เพื่อรองรับกับสภาพตลาดที่การแข่งขันรุนแรงมากขึ้น
“สภาพตลาดชาเขียวที่มีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น แต่บริษัทจะเน้นชูจุดเด่นสินค้าที่ขายกลิ่นไอความเป็นญี่ปุ่น อีกทั้งการพัฒนาสินค้าใหม่พร้อมกับการสร้างมูลค่าให้กับสินค้าลงสู่ตลาด ซึ่งปัจจุบันเรามีชาเขียวพร้อมดื่ม 30 ประเภททั่วโลก และในปีหน้านี้หากตลาดมีมูลค่า 10,000 ล้านบาท บริษัทหวังแค่มีส่วนแบ่ง 20% ก็เพียงพอที่จะมีกำไร”
นายหยางกล่าวว่า นโยบายการทำตลาดจากนี้ บริษัทวางเป้าหมาย คือ ขยายไลน์ธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ด้วยการมองหาพันธมิตรทางธุรกิจ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา 2 ราย และประการสำคัญมองการขยายไปยังเซาท์อีสเอเชียและเอเชียให้มากขึ้น สำหรับการขยายไลน์สินค้าในขณะนี้ บริษัทได้วางเป้าหมายจะลงสู่ตลาดน้ำถั่วเหลืองในปีหน้านี้ โดยขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างดึงพันธมิตรเข้าร่วม เนื่องจากบริษัทไม่มีเครื่องจักรประเภทดังกล่าว จากนั้นยังสนใจขยายไลน์ไปสู่ตลาดบะหมี่สำเร็จรูปภายใน 1-2 ปีข้างนี้ และอาหารแช่เย็น
โดยโครงสร้างการทำตลาด บริษัทจะให้ความสำคัญกับกลุ่มอาหารแช่แข็ง 80% บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 20% จากนั้นจะเริ่มปรับสัดส่วน เป็นอาหารแช่เย็น 60% บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 40% ทั้งนี้เพราะธุรกิจหลักของบริษัทแม่ประเทศไต้หวัน เป็นกลุ่มอาหารเป็นหลักมากกว่าส่วนกลุ่มเครื่องดื่ม ซึ่งการทำตลาดอาหารแช่เย็นจะเน้นในเรื่องของฟังก์ชันนัล จากปัจจุบันสินค้าที่ได้รับความนิยมในประเทศไต้หวัน อาทิ โยเกิร์ต ขนมหวาน และผลิตภัณฑ์จากนม
|