นโยบายต่างประเทศของรัฐบาลไทยในหลายยุคที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นการดำเนินนโยบายเชิงตั้งรับ
น้อยครั้งมากที่จะเห็น นโยบายเชิงรุกที่เป็นรูปธรรม
แต่การเป็นแกนนำในการเชิญผู้นำระดับรัฐมนตรีของ ประเทศต่างๆ ในทวีปเอเชียมาพบปะกันอย่างไม่เป็นทางการ
ที่เรียกว่า "Asia Cooperation Dialogue : ACD" ถือเป็น การดำเนินนโยบายต่างประเทศเชิงรุกครั้งสำคัญที่สุด
ที่ปรากฏ ออกมาภายใต้การนำของรัฐบาลชุดนี้
ACD เป็นแนวคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่ยัง ไม่ได้เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี
และเมื่อได้เป็นรัฐบาล แนวคิด นี้ได้ถูกบรรจุเป็นนโยบาย และได้รับการสานต่ออย่างจริงจังจาก
สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จนสามารถจัดการประชุมครั้งแรก
โดยมีประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ และมีรัฐมนตรีจาก 16 ประเทศในเอเชียมาร่วมประชุมกันได้
เมื่อวันที่ 18-19 มิถุนายนที่ผ่านมา
การประชุมครั้งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย อย่างน้อยก็ทำให้รัฐมนตรีจากประเทศต่างๆ
ที่มาร่วมประชุม ยอมรับแนวคิดเบื้องต้นที่ว่าหากทุกประเทศในเอเชียมีความร่วมมือ
ซึ่งกันและกัน จะเป็นหนทางที่ทำให้ปัญหาความยากจนที่หลาย ประเทศกำลังประสบอยู่
ถูกขจัดลงไปได้
สาระสำคัญที่ทุกคนยอมรับ คือโครงสร้างพื้นฐานของ ทวีปเอเชีย ซึ่งเป็นทวีปที่ใหญ่ที่สุด
ครอบคลุมผืนแผ่นดินประมาณ 30% ของโลก มีประชากรรวมกันกว่า 3 พันล้านคน มากกว่าครึ่ง
หนึ่งของประชากรโลก จุดนี้ทำให้ทวีปเอเชียเป็นตลาดการค้า ที่ใหญ่ที่สุด
ด้านเศรษฐกิจ การส่งออกและผลิตภัณฑ์มวลรวมของ เอเชีย เป็น 1 ใน 4 ของการส่งออก
และผลิตภัณฑ์มวลรวมของ โลก และทุนสำรองระหว่างประเทศเมื่อรวมกันมีมูลค่ากว่า
1,000 ล้านดอลลาร์ มากกว่าครึ่งหนึ่งของทุนสำรองของทุกประเทศทั่วโลก
นอกจากนี้แต่ละประเทศในเอเชีย มีความหลากหลายทาง ด้านวัฒนธรรม ซึ่งเป็นจุดขายสำคัญสำหรับการท่องเที่ยว
แนวคิดนี้ยังมีความต่อเนื่อง มีการนัดประชุมกันอีกครั้ง ในเดือนมิถุนายนปีหน้า
โดยประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็น เจ้าภาพเช่นเดิม
ปัจจุบันยังมีหลายคนที่ไม่เข้าใจว่าประเทศไทยจะได้รับ ผลประโยชน์อะไร จากการเป็นแกนนำจัดประชุม
ACD ครั้งนี้ นอกเหนือจากภาพลักษณ์
คำว่าภาพลักษณ์ คนทั่วไปฟังดูเสมือนเป็นเพียงนามธรรม แต่ในกิจกรรมระหว่างประเทศแล้ว
ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ จะนำมาซึ่งความเชื่อมั่นในการตัด
สินใจนำเงินเข้ามาลงทุน และมีผลต่อความเชื่อถือ และยังสามารถ เพิ่มน้ำหนักของคำพูดได้
เวลาที่ประเทศไทยต้องออกไปเจรจา ความระหว่างประเทศ
ดังนั้นหากประเทศไทย ประสบความสำเร็จกับการเป็น ผู้ริเริ่ม ทำให้ประเทศต่างๆ
ในเอเชียสามารถหันหน้ามาจับมือ ร่วมกันได้ จะเป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยอย่างยิ่ง
เป็นผลดีที่เกิดขึ้น ในช่วงที่ประเทศในกลุ่มอาเซียน กำลัง จะเผชิญกับสถานการณ์ภาวะสุญญากาศทางการนำ
ในอีก 1-2 ปี ข้างหน้า เมื่อมหาธีร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้
ประกาศชัดเจนแล้วว่าจะล้างมือทางการเมือง และโก๊ะ จก ตง ผู้นำสิงคโปร์ กำลังเตรียมถ่ายอำนาจการปกครองให้บุตรชายของ
อดีตประธานาธิบดีลี กวน ยู หากสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ของประเทศได้สำเร็จ