Role Model 2002 มีมิติสำคัญของความชัดเจน ในบุคลิกของผู้นำธุรกิจที่สัมพันธ์กับโครงสร้างเศรษฐกิจและธุรกิจไทยที่พัฒนาไปในช่วง
20 ปีนี้อย่างมาก มีคุณค่าในเชิงความหมายมากกว่าอันดับของแต่ละคน ซึ่งแนวคิดนี้
คือแนวทางของบทวิเคราะห์ชิ้นนี้
"ความชัดเจนแห่งบุคลิก" ของ Role Model อาจจะพิจารณา ได้จากน้ำหนักของการโหวตที่กระจุกอย่างหนาแน่นและมั่นคงในกลุ่ม
10 อันดับแรกที่มาจากคะแนนโหวตถึง 41% และ 20 อันดับแรก ประมาณ 60% ของเสียงโหวตทั้งหมด
ที่สำคัญ Role Model ใน 20 อันดับแรก มีความหลากหลาย เป็นภาพสะท้อนสังคมธุรกิจได้
อย่างชัดเจนมากภาพหนึ่งทีเดียว
ขณะเดียวกันนั้น Voter Profile มีลักษณะกระจายไปตาม กลุ่มอายุต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มผู้คนที่มีประสบการณ์ในช่วงผันแปร
ของสังคมไทยในช่วงสำคัญที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติการณ์หรือ โอกาสใหม่
โดยมีอายุระหว่าง 20-40 ปี ถึง 80% ทั้งนี้ผู้คนกลุ่มนี้ ก็ยังเป็น "ตัวแทน"
ของสังคมธุรกิจไทยที่ต้องขับเคลื่อนไปข้างหน้า อีกช่วงเวลาอันสำคัญช่วงหนึ่งจากนี้ไป
นี่คือมติความคิดรวบยอดของสังคมที่ผมคิดว่า มีหลักเหตุผล ด้วยตัวเองที่ดีอีกบทสรุปหนึ่ง
ในเชิงโครงสร้างความคิดของสังคม ธุรกิจไทย
จากอิทธิพลต่อ "รัฐ"
สู่อิทธิพลต่อ "ตลาด"
การเกิดขึ้นของธุรกิจสำคัญในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง นั่นคือธุรกิจธนาคาร
ซึ่งกลายเป็นฐาน Role Model ของธุรกิจไทย มายาวนานหลายทศวรรษ มาจากกลุ่มอิทธิพลที่รวมตัวกันแสวงหาอภิสิทธิ์จากรัฐ
ธุรกิจ นี้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของรัฐอย่างเข้มข้นมายาวนานถึง 5 ทศวรรษทีเดียว
แน่ละ รัฐไทยมีระบบอภิสิทธิ์แจกจ่ายเสมอ และพัฒนาไปมากขึ้น แต่นับวัน Business
Model ได้พัฒนาต่อเนื่อง มีลักษณะผสมผสานกับความสามารถจัดการกับ "ตลาด" มากขึ้น
ธนินท์ เจียรวนนท์-เจริญ สิริวัฒนภักดี
Classic Model
ธนินท์ เจียรวนนท์ เริ่มต้นยุคแรก (2514-2530) การศึกษากลไกของรัฐที่มีอิทธิพล
ต่อตลาดค่อนข้างมากในช่วงสงครามโลกในเรื่องการพัฒนาการผลิตอาหาร รวมทั้งไลฟ์สไตล์
ของผู้คนยุคหลังสงครามเวียดนาม จากนั้นเขาสร้างธุรกิจที่มีอิทธิพลรอบนอก
จากความรู้ ของตะวันตก ในการประยุกต์อุตสาหกรรมอาหารเข้ากับระบบ Contact
Farming ใน ชุมชนต่างจังหวัด กลายเป็นโมเดลใหม่ของธุรกิจอาหารของเอเชีย จนเข้าถึง
"วงใน" ใน สังคมไทย
ในยุคต่อมา เขาใช้ประสบการณ์ "ตลาด" กับการเข้าถึงรัฐมากขึ้น ได้มาซึ่งสัมปทาน
ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โทรศัพท์พื้นฐานในเขตเมืองหลวง เป็นฐานการขยายธุรกิจที่ผสม
ผสานโมเดลเดิมในช่วงก่อนและหลังสงครามโลกเข้ากับการเข้าใจ "ตลาด" มาพอควร
ผลของการผสมสาน ทำให้เขาเป็น ตัวแทนกลุ่มธุรกิจที่ใหญ่และทรงอิทธิพล ที่สุดในประเทศไทยเวลานี้ก็ได้
เขาเป็น โมเดลธุรกิจ ที่บริหารอย่างเข้มข้นภายใต้ กลุ่มเดียว มิใช่เครือข่ายหลวมๆ
ที่นักวิชา การเขียนถึงในยุคเมื่อ 25 ปีที่แล้ว ที่สำคัญ เขากำลังสร้างเครือข่ายธุรกิจ
อันน่าเกรง ขามลงรากระดับชุมชน ผ่านระบบการค้า แบบใหม่
ขณะที่ เจริญ สิริวัฒนภักดี เริ่มจาก ระบบสัมปทานเก่าแก่ที่สุดหนึ่งของไทย
นั่น คือสุรา ในกระบวนการเรียนรู้เพื่อสร้างความ เข้มแข็งของธุรกิจ เขาได้ประสบการณ์ว่า
"เงิน" นั้นอาจจะมาได้ง่าย แต่การสร้าง ความเข้มแข็งของธุรกิจไม่ง่าย ในช่วงปี
2530 หลังจากฐานธุรกิจค้าสุราเข้มแข็ง เขาก็เดินหน้าเข้าสู่ธุรกิจรากฐานของไทย
ไม่ว่าที่ดิน ธนาคาร แต่ในที่สุด ก็พบประสบการณ์ธุรกิจสำคัญมาก เมื่อเขาต้องเสียธุรกิจ
สำคัญไป ในช่วงวิกฤติสังคมในปี 2540 จำเป็นต้องโฟกัสธุรกิจค้าสุราอีกครั้งหลังปี
2540 ภายใต้แรงบีบคั้นของตลาดมากขึ้นเมื่อการค้าสุราเสรีจะเกิดขึ้นแม้ไม่เต็มรูปก็ตาม
ความสำเร็จอีกครั้งของเขาที่มาจากประสบการณ์ "ตลาด" ในมิติที่กว้าง ทำให้เขา
เริ่มต้นขยายฐานธุรกิจอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้มีความสัมพันธ์กับธุรกิจเดิมมากขึ้น
โดยเฉพาะการสร้างความเข้มของอุตสาหกรรม และเครือข่ายตลาดยุคใหม่
ธนินท์ และเจริญ ในวันนี้ เป็น Role Model ที่ฝังรากลึกในสังคม นั่นคือความ
สามารถในการสร้างอาณาจักรธุรกิจที่ใหญ่ ครบวงจร แต่สิ่งที่เขากำลังทำในวันนี้ก็คือ
การสร้าง "ความยอมรับ" ของสังคมมากขึ้น ทั้งสังคม "วงใน" และสังคม "ตลาด"
ธนินท์ นั้นอาจจะดูมีความสำเร็จในการลงทุนต่างประเทศมากที่สุดในบรรดาธุรกิจไทย
แต่น่า สังเกตว่าในช่วง 5 ปีมานี้ เขากลับมาโฟกัสในเมืองไทยมากขึ้น เชื่อกันว่ามาจากความแน่นอน
ของ "ความสัมพันธ์แบบเก่า" ของจีนและอินโดนีเซีย แรงบันดาลใจในเมืองไทยจึงสูงมาก
การสร้างความยอมรับในวงในและอำนาจในฐานที่ใหญ่ เพื่อสร้างฐานธุรกิจใหม่สำหรับ
ทายาท เป็นความขัดแย้งอย่างหนัก จากนี้ไปประสบการณ์ "ความใหญ่" ในอดีตของเขา
กับชุมชนต่างจังหวัดเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เรื่องกรณี Contract Farming เป็นบทเรียนที่
ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง
ส่วนเจริญ สิริวัฒนภักดี กำลังแสวง หา "ความยอมรับ" จากวงในมากเป็นพิเศษ
จะด้วยเหตุผลถึงความแน่นอนหรือการปรับ แต่งตนเองให้ดูดีขึ้น เพื่อลบภาพธุรกิจอิทธิพล
ในอดีตหรือไม่ก็ตาม เขาเข้าซื้อบริษัทเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ แล้วเข้าสู่ตำแหน่งประธานบริษัทนี้
ทันที คือภาพสะท้อนหลายมิติความต่อเนื่อง ของอุตสาหกรรมสุรา (ในฐานะเจ้าของ
อุตสาหกรรมผลิตขวดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย) ความเข้มแข็งในฐานะบริษัทที่มีการบริหาร
การตลาดยุคใหม่ (ระบบเอเย่นต์เข้มแข็ง น้อยกว่า Supply Chain Management
ที่ เบอร์ลี่ยุคเกอร์มีประสบการณ์) และที่สำคัญ บริษัทนี้คือสัญลักษณ์สำคัญในประวัติ
ศาสตร์ที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับสังคม วงในต่อเนื่องมาตั้งแต่เมื่อ 120
ปีที่แล้ว
สุทธิชัย หยุ่น-สนธิ ลิ้มทองกุล
Dilemma
ทั้งสองคือผู้มาใหม่ในสังคมไทย การเกิดขึ้น ร่ำรวย และทรงอิทธิพลใน หลายมิติของเขา
นับเป็นแรงบันดาลใจของ คนรุ่นใหม่มากทีเดียว สังคมไทยเปิดโอกาส มากขึ้นสำหรับคนที่ไม่จำเป็นต้องแทรกตัว
เข้า "วงใน" อย่างเข้มข้น
สุทธิชัย หยุ่น ขาย "ความอิสระของ ข่าวสาร" ที่เขาเขียนและพูดปีละหลายหน
ตั้งแต่แยกตัวมาตั้ง Nation ประมาณ 30 ปี ในที่สุดพบว่าสินค้านี้ขายได้ พร้อมๆ
กับ สังคมเมืองหลวงเติบโตขึ้น และในที่สุดเมื่อ เขานำบริษัทเข้าตลาดหุ้นได้
และเพิ่มทุน ติดต่อกันหลายครั้งในช่วง 3-4 ปีแรก เป็นอันรู้กันในสังคมว่าเขากลายเป็นคนที่มีอุดมคติ
ที่รวยได้คนหนึ่งในสังคมไทยไปแล้ว
บุคลิกที่ดูขัดแย้งเริ่มขึ้น เมื่อธุรกิจที่เขาดำเนินเป็นธุรกิจมากขึ้น
ไม่ว่าการระดม ทุนจากตลาด หรือการเข้าสู่การผลิตรายการข่าววิทยุหรือทีวี
ซึ่งล้วนเป็นสื่อที่อยู่ภายใต้ อำนาจมากกว่าหนังสือพิมพ์ เป็นสื่อที่ขัดแย้งกับเสรีภาพที่เขาสร้างจนกลายเป็นบุคลิก
ของเขามากที่สุด
แต่ดูเหมือนสุทธิชัย บริหารความ ขัดแย้งนี้ได้ดี ให้เขาและกลุ่มเป็นผู้คนที่ทรง
อิทธิพลในสังคมตามสื่อที่ขยายฐานมากกว่า หนังสือพิมพ์ พร้อมกับความใหญ่ของธุรกิจ
ด้วย ทุกวันนี้เขาคือนักหนังสือพิมพ์ที่ทำงานอยู่ มีอิทธิพลต่อผู้คนในสังคมระดับกว้างขวาง
ขึ้น ในขณะที่สื่อใหม่เติบโตขึ้น ขณะเดียวกันก็อยู่ในธุรกิจที่เข้มข้นในเรื่องผลประโยชน์
มากขึ้นๆ
สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นนักหนังสือพิมพ์ที่ผ่านการศึกษาจากต่างประเทศ เขามีโมเดล
ความคิดที่แตกต่างจากคนอื่นๆ จากความคิด "ระดับภูมิภาค" เขามีความคิดในการสร้าง
สื่อระดับภูมิภาคเพื่อคานอำนาจสื่อตะวัน ตก ขณะเดียวกันเขาก็คือ นักธุรกิจไทยที่ใช้
ความรู้และโมเดลธุรกิจตะวันตกมากที่สุด คนหนึ่ง ไม่ว่าการขยายอาณาจักรธุรกิจ
อย่างรุนแรงและขนานใหญ่ ในช่วง 5 ปี เท่านั้น ด้วยการลงทุนในสื่อต่างประเทศ
ไม่ว่าที่สหรัฐฯ ฮ่องกง จีน และสิงคโปร์ การซื้อกิจการเพื่อนำบริษัทเข้าตลาดหุ้น
และเข้าสู่ธุรกิจอื่นๆ ในนามส่วนตัวอีก หลายอย่าง
เขาเป็นคนที่สร้างโอกาสได้มาก จริงๆ ในช่วงนั้น ไม่ว่าจะด้วยอิทธิพลและเครือข่ายของความเป็นสื่อ
หรือความ สามารถอย่างสูงของเขาก็ตาม แต่เรื่อง ราวของเขาน่าทึ่งมาก
วิกฤติการณ์ทำให้ธุรกิจซึ่งขยาย ด้วยวิธีแบบตะวันตกกว่าครึ่งล้มหายตาย
จากไป แต่ในเรื่องการศึกษาตะวันตก ซึ่งดูเหมือนเขาจะมีประสบการณ์สองด้าน
อย่างเข้มข้น และเข้าใจมากขึ้น ทำให้เขาเป็น "บุคคลล้มละลาย" ในสังคมที่ดูเหมือน
มีโอกาส มีอิทธิพลอยู่ไม่ขาดในหลายมิติ รวมทั้งอิทธิพลทางความคิดว่าด้วยภูมิปัญญา
ตะวันออก ในกลางปีหน้าเมื่อพ้นภาวะบุคคลล้มละลาย เชื่อกันว่าเขาจะทำให้สีสันใน
วงการธุรกิจมีมากขึ้น
ทั้งสองเติบโตมากับสื่อและเทคโนโลยีเกี่ยวข้องกับสื่อสมัยใหม่ เรื่องราวของเขาใน
ฐานะเจ้าของสื่อ เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับผู้คนในสังคมอย่างมาก สุทธิชัย
หยุ่น เป็น คนหนึ่งที่ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนตามสื่อทีวีอย่างสม่ำเสมอด้วยบุคลิกนักข่าวที่ทรง
ความรู้และอิทธิพล ขณะที่สนธิมีเรื่องของเขาปรากฏตามสื่ออยู่เสมอ โดยเฉพาะสื่อต่าง
ประเทศ เขาถูกพูดถึงมากที่สุดคนหนึ่งในสังคมไทย
เขาทั้งสองเป็น Role Model ที่มี สีสันมากสำหรับสังคมธุรกิจไทย ในช่วง
ที่ผ่านมาอย่างมาก ผมเชื่อว่า Role Model ของสังคมธุรกิจไทยค่อยๆ ปรับโฉมไป
ตลอดเวลา กรณี สุทธิชัย หยุ่น และสนธิ ลิ้มทองกุล แทรกเข้ามาตรงกลาง ซึ่งกำลัง
เชื่อมไปสู่ผู้คนที่อยู่ในกระแสของตลาด หรือ ผู้บริโภคอย่างเต็มตัว เช่น
กรณีของไตรภพ ลิมปพัทธ์ ซึ่งเติบโตมากับความรู้สึกนึกคิด และกระแสสังคมที่กำหนดโดยสื่อยุคใหม่
(อ่านเรื่อง Consumer Contract ใน คอลัมน์หมายเหตุธุรกิจฉบับนี้ประกอบด้วย)
ไม่ว่าจะปรับเปลี่ยนอย่างไร Role Model สังคมไทยยังยึดถือคนที่สามารถ แสวงหาความร่ำรวยได้เสมอ
ไม่ว่าความ ร่ำรวยจะมาโดยวิธีที่หลากหลายชัดเจน หรือคลุมเครือเพียงใด