"แอล.พี.เอ็น." เดินหน้าซื้อที่ดินย่านปิ่นเกล้าเตรียมผุดโครงการใหม่ ได้ใจยอดขาย "ลุมพินี เพลส ปิ่นเกล้า" มั่นใจยอดรับรู้รายได้ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 3,500 ล้าน พร้อมโชว์ยอดขาย 5 เดือนแรก 4,000 ล้านบาทจากเป้าทั้งปี 4,500 ล้านบาท คุยยอดขายทั้งปีทะลุเป้าแน่นอน แย้มปีหน้าเป้ายอดขายไม่ต่ำกว่า 4,500 ล้าน เผยแผนซื้อที่ดินรอพัฒนาปี 49 กว่า 5 โครงการ
นายทิฆัมพร เปล่งศรีสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้ซื้อที่ดินย่านปิ่นเกล้า ใกล้กับห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลปิ่นเกล้าและเมเจอร์ ปิ่นเกล้า โดยได้ปรับหน้าดินเรียบร้อย เพื่อรอพัฒนาโครงการต่อเนื่องจากโครงการ "ลุมพินี เพลส ปิ่นเกล้า" โครงการอาคารชุดพักอาศัยรูปแบบ Middle Rise Condominium สูง 22 ชั้น จำนวน 550 ยูนิต มูลค่า 1,000 ล้านบาท ที่ใช้ระบบบุ๊กบิลด์ (Book Build) เพื่อสำรวจระดับความต้องการราคาที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมกับกำลังซื้อ ก่อนกำหนดราคาขายในโครงการ โดยขณะนี้โครงการดังกล่าวใกล้ปิดการ ขายแล้ว ซึ่งความก้าวหน้าของยอดขายในโครงการ ขณะนี้ยอดขายใน 19 ชั้นแรกที่เปิดขาย มีการจองซื้อหมดแล้ว ส่วนที่เหลืออีก 3 ชั้นซึ่งเปิดใหม่ ขณะนี้มียอดขายเกือบเต็มแล้ว ดังนั้นบริษัทจึงมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่อง
นายทิฆัมพรกล่าวว่า สำหรับในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดรายได้รับรู้ไม่ต่ำกว่า 3,500 ล้านบาท เพราะเชื่อว่ารายได้จากการเปิดขายโครงการทั้งหมดในปีนี้ จะสูงกว่าเป้ายอดขายที่บริษัทที่วางไว้ ซึ่งยอดโอนส่วนหนึ่งเป็นยอดโอนตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา และจะมารับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 200 กว่าล้านบาท ทั้งนี้ ในระยะเวลา 5 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายแล้ว 4,000 ล้านบาท จากเป้ายอดขายที่วางไว้ว่าทั้งปีบริษัทจะมียอดขายประมาณ 4,500 ล้านบาท แต่ปรากฏว่าช่วงระยะเวลาเพียง 5 เดือน บริษัทก็มียอดขายเกือบถึงเป้าที่วางไว้แล้ว ทำให้เชื่อว่าในปีนี้ หลังจากที่บริษัทปิดการขายในโครงการ ลุมพินี เพลส นราธิวาส-เจ้าพระยาแล้ว จะทำให้บริษัทมียอดขายที่เกินเป้าที่วางไว้เดิม ส่วนในปีหน้าบริษัทคาดว่าจะมีการตั้งเป้ายอดขายไม่สูงจากปีนี้ไม่มากนัก โดยคาดว่าจะตั้งเป้ายอดขายประมาณ 4,500 ล้านบาท
สำหรับยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปี 2548 นี้ ส่วนใหญ่เป็นยอดขายจากการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันจำนวน 4 โครงการ ซึ่งโครงการลุมพินี เพลส นราธิวาส-เจ้าพระยา ถือว่าเป็นโครงการ ล่าสุด นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่เพิ่มอีก 1 โครงการ โดยจะใช้แบรนด์ในกลุ่ม ลุมพินี เพลส และลุมพินี วิลล์ ซึ่งมีราคาขายระดับราคา 1-1.5 ล้านบาท
นายทิฆัมพรกล่าวว่า อย่างไรก็ดี ภายหลังจากที่เปิดตัวโครงการลุมพินี เพลส นราธิวาส-เจ้าพระยาในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะนี้มียอดขายแล้ว 572 ยูนิต รวมมูลค่า 1,300 ล้านบาท จากจำนวนทั้งหมดประมาณ 1,306 ยูนิต โดยส่วนใหญ่ผู้ซื้อเป็นกลุ่มลูกค้าเก่าของบริษัทคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 80% ซึ่งซื้อเพื่อต้องการขยายครอบครัวประมาณ 60% ส่วนที่เหลือต้องการซื้อเพื่อการลงทุน (ปล่อยให้เช่า) ประมาณ 40% ขณะที่อีก 20% เป็นกลุ่มลูกค้าใหม่ที่เกิดจากการแนะนำของลูกค้าเก่าและต้องการพักอาศัยอยู่ในทำเลย่านพระราม 3
ทั้งนี้สาเหตุที่ยอดขายของโครงการไปได้อย่างรวดเร็ว เพราะทำเลของโครงการที่โดดเด่น สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยา และราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งในบริเวณเดียวกัน ซึ่งในทำเลย่านเดียวกัน ราคาขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรอยู่ในระดับประมาณ 60,000 บาท ขณะที่บริษัทตั้งราคาขายอยู่ที่ประมาณ 52,000 ตารางเมตร อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาบริษัทได้ปรับราคาขายขึ้นไป 2 ครั้ง โดยเป็นการ ปรับตามปริมาณดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น
นายทิฆัมพรกล่าวว่า สำหรับการพัฒนาโครงการใหม่ในปี 2549 นั้น ขณะนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการพิจารณาเลือกซื้อที่ดินในทำเลย่านแยกเกษตรนวมินทร์ สะพานใหม่ สะพานควาย ท่าพระ และสุขุมวิท ปลายๆ เพื่อพัฒนาโครงการในปี 2549 ส่วนแนวโน้มตลาดอสังหาฯ ในปีหน้าซึ่งจะมีผู้ประกอบการรายใหญ่เข้ามาทำตลาดระดับกลาง-ล่าง มากขึ้นนั้น ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะเนื่องจากตลาดใดมีดีมานด์มาก ก็ย่อมได้รับความสนใจเป็นธรรมดา ในช่วงไตรมาส 4 บริษัทมีแผนจะซื้อที่ดินเพื่อรองรับแผนการเปิดตัวโครงการในปี 2549 ซึ่งคาดจะมีการพัฒนาโครงการไม่ต่ำกว่า 5 โครงการ ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถรองรับดีมานด์ในตลาดได้อย่างเหมาะสม เนื่องจากในปีหน้าคาดว่าจะมีผู้ประกอบการรายใหญ่อย่าง บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ที่ขณะนี้เริ่มเข้ามาทำตลาดระดับกลาง-ล่างแล้ว และคาดว่าในปี 2549 จะขยายกำลังผลิต ในตลาดระดับดังกล่าวมากขึ้น เนื่องจากตลาดดังกล่าวมีดีมานด์จำนวนมาก
ทั้งนี้ ในฐานะที่ แอล.พี.เอ็น.ฯ เป็นผู้ประกอบการตลาดในระดับนี้อยู่ก่อน ก็เชื่อว่าการเข้ามาทำตลาดในเซกเมนต์เดียวกันของผู้ประกอบการรายใหญ่ จะส่งผลดีต่อตลาด ทำให้ฐานลูกค้ามีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น และยังเป็นการเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคด้วย ส่วนการที่รายใหญ่เข้ามาทำตลาดในระดับเดียวกันแล้วจะส่งผลกระทบยอดขายของบริษัทหรือไม่นั้น เชื่อว่า การเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหญ่จะไม่ส่งผลต่อยอดขายของบริษัท เนื่องจากจำนวนดีมานด์ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากนั้น มีการกระจายตัวอยู่ในทุกพื้นที่ ไม่มีการกระจุกตัวอยู่ในย่านใดย่านหนึ่ง เหมือนกับคอนโดมิเนียมราคาแพง ซึ่งถูกจำกัดโซนด้วยราคา และทำเลในการพัฒนา
|