ซัปพลายเออร์ยันไม่ได้ต่อต้านอาร์ซีเซ็นทรัล แต่ต้องการเจรจาบนพื้นฐาน
ที่สามารถดำเนินธุรกิจร่วมกันได้ ไม่เชื่อซัปพลายเออร์เข้าอาร์ซี 65% ชี้ปัญหายืดเยื้อทั้ง
2 ฝ่ายได้รับผลกระทบเท่ากัน
ครึ่งเดือนหลังเกิดปัญหา ทำยอดขายเซ็นทรัลตกไปแล้วกว่า 30% ซัปพลายเออร์ที่จำเป็นต้องเข้าระบบอาร์ซี
เตรียมตัวลดต้นทุนจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
คาดปลดพนักงานขายเป็นอันดับแรกรวมทุกรายประมาณ 2,000-4,000 คน เล็งหาช่องทางขายใหม่คานอำนาจเซ็นทรัล
ด้วยการเปิดร้านจำหน่ายเป็นของตัวเองในศูนย์การค้า
แหล่งข่าวจากซัปพลายเออร์ ที่ส่งสินค้าให้กับห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และโรบินสัน
เปิดเผยว่า การออกมาชี้แจงเกี่ยวกับระบบการ เติมสินค้าและกระจายสินค้า หรือ
RC (Replenishment Center)
ของกลุ่มเซ็นทรัลเป็นเพียงการออก มาอธิบายถึงข้อดีของ ระบบอาร์ซี ในมุมมองที่เซ็นทรัลเห็นว่าดีเท่านั้น
โดยมีวัตถุประสงค์ ที่จะให้ซัปพลาย เออร์ที่ยังไม่เข้าร่วมระบบอาร์ซีให้รีบเข้าสู่ระบบดังกล่าว
ขณะนี้ทางซัปพลายเออร์ที่ไม่เข้าระบบอาร์ซี ไม่ได้ต้องการต่อ ต้านเซ็นทรัลแต่เห็นว่าระบบดังกล่าวเป็นการผูกขาด
ทำให้ซัปพลายเออร์ไม่มีทางเลือกในการดำเนินธุรกิจ
ซึ่งหากเข้าร่วมระบบอาร์ซีภายใต้เงื่อนไขเดิม ซัปพลายเออร์ก็ไม่สามารถประกอบกิจการอยู่ได้เช่นกัน
ซึ่งการต่อรองของซัปพลายเออร์กับเซ็นทรัลจะดำเนิน การต่อไปจนกว่าจะได้ข้อสรุป
ปัจจุบันมีซัปพลายเออร์เข้าระบบอาร์ซีเซ็นทรัลเพียง 10% ของ ซัปฟลายเออร์ที่ค้าขายอยู่กับเซ็น
ทรัลที่มีจำนวน 2,000 รายเท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้เซ็นทรัลได้ออกมาอ้าง ว่ามีซัปพลายเออร์เข้าระบบแล้ว
65% ซึ่งหากมีจำนวนตามที่เซ็นทรัล อ้างจริง เซ็นทรัลก็ไม่น่าจะเดือดร้อน
จนต้องออกมาแถลงข่าวชี้แจง ข้อดีของอาร์ซีกับสื่อมวลชน จากการพูดคุยระหว่างซัปพลายเออร์ด้วยกันพบว่ามีประมาณ
10%
ที่ค้าขายกับกลุ่มเซ็นทรัลเท่านั้น โดยไม่มีช่องทางค้าขายอื่นอีก ซึ่งกลุ่มนี้คงต้องจำยอมเข้าระบบอาร์ซีของเซ็นทรัลโดยไม่มีทางเลือก
ส่วนซัปพลายเออร์ที่กำลังอยู่ ระหว่างการเจรจากับเซ็นทรัล
และถือเป็นซัปพลายเออร์หลักที่สร้างยอดขายให้กับเซ็นทรัลราว 50% มีจำนวน
300-400 ราย โดยตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.2545 ที่เซ็นทรัลบังคับให้ซัปพลายเออร์เข้าระบบอาร์ซี
และเกิดปัญหาจนซัปพลายเออร์ไม่สามารถส่งสินค้าเข้าไปเติมในสาขาของห้างเซ็นทรัล
และโรบินสัน ได้นั้น ทั้งซัปพลายเออร์ และเซ็น ทรัลเอง ต่างก็ได้รับผลกระทบด้าน
ยอดขาย
เพราะสินค้าที่จำหน่ายอยู่ ในห้างเริ่มหมด ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายสูญ เสียโอกาสทางการขาย
สำหรับห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลจะมียอดขายเฉลี่ยปีละ 20,000 ล้านบาท ส่วนโรบินสันมียอดขายปีละ
9,000
ล้านบาท ดังนั้นเฉลี่ยในแต่ละเดือนทั้ง 2 ห้างจะมียอดขายประมาณ 2,500 ล้านบาท
จากความขัดแย้งเรื่องอาร์ซี ซัปพลายเออร์ประเมินว่ายอดขายของเซ็นทรัลและโรบินสัน
ในเดือนก.ค.นี้ลดลงไปแล้วกว่า 30% หากทั้ง 2 ฝ่ายยังไม่สามารถตกลงกันได้เชื่อว่าจะเสียประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจด้วยกันทั้งคู่
แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า หลังจากเริ่มใช้ระบบอาร์ซี
ซัปพลายเออร์จำนวนมากไม่ได้ส่งสินค้าให้เซ็นทรัล จะมีเพียงซัปพลายเออร์รายใหญ่อย่างเครือสหพัฒน์
และบางรายเท่านั้นที่ได้รับสิทธิให้ส่งสินค้าเองเหมือนปกติ ในส่วนนี้ถือเป็น
การเลือกปฎิบัติ
และไม่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ แต่หลังจากที่ซัปพลายเออร์ส่วนใหญ่ยืนยันไม่ส่งสินค้าให้เซ็นทรัลตั้งแต่วันที่
1 ก.ค. ที่ผ่านมา ขณะนี้เซ็นทรัลเริ่มเป็นฝ่ายที่ติดต่อมา
ทางซัปพลายเออร์ขนาดกลางบางราย เพื่อให้เข้า ไปส่งสินค้าตามสาขาของเซ็นทรัลและโรบินสันได้เหมือนเดิม
แต่เป็นการชั่วคราวเท่านั้น โดยให้ ไปส่งในเวลา 02.00-04.00 น.เท่านั้น แต่ซัปพลาย
เออร์บางรายก็ไม่ได้รับการติดต่อให้ไปส่งสินค้าในเวลาดังกล่าว สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจของซัปพลายเออร์ส่วนใหญ่ที่รวมกลุ่มกันอยู่ในขณะนี้
จะขอเจรจากับเซ็นทรัลไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ข้อ
ยุติที่เป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย โดยในขั้นแรกซัปพลายเออร์ต้องการส่งสินค้าเอง
ตามช่วงเวลาที่เซ็นทรัลกำหนดให้ คือในเวลา 02.00-04.00 น. ถึงแม้ว่าจะทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นกว่าการขน
ส่งแบบเดิม
20% ซัปพลายเออร์ก็ยินดีจ่ายจะในส่วนนี้มากกว่าการเข้าสู่ระบบอาร์ซี ที่จะมีค่าใช้จ่าย
เพิ่มขึ้นกว่าเดิม 10-30 เท่า และในสัญญาที่เซ็น ทรัลจะทำกับซัปพลายเออร์นั้น
สามารถปรับราคา
ค่าขนส่งเพิ่มขึ้นในอัตราเท่าไรก็ได้ โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 7 วันเท่านั่น
ซึ่งซัปพลายเออร์ไม่สามารถปฏิเสธได้ ลดสาขาจำหน่ายในเซ็นทรัล-โรบินสัน แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า
หากซัพพลายเออร์ที่มีความจำเป็นต้องค้าขายกับเซ็นทรัลจริงๆ เพื่อความอยู่รอด
เชื่อว่าซัปพลายเออร์ดังกล่าวจะต้อง ปรับรูปแบบการค้าขายกับเซ็นทรัลใหม่
เนื่องจาก
ต้องลดต้นทุนค่าใช้จ่ายของตัวเองให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากระบบอาร์ซี
คาดว่าซัปพลายเออร์จะปรับตัวด้วยการลดจำนวนสาขาที่ค้า ขายกับเซ็นทรัลและโรบินสันลง
เพราะปัจจุบันเซ็นทรัลมีสาขาที่มียอดขายในระดับดี มีเพียง 4 แห่งเท่านั้น
คือ ชิดลม ลาดพร้าว ปิ่นเกล้า และบางนา ส่วนโรบินสันที่มียอดขายสูง มีเพียง
2 สาขาเท่านั้น คือ ศรีนครินทร์ และรัชดาภิเษก
ทั้งเซ็นทรัลและโรบินสันที่มีสาขารวมกัน 30 แห่ง แบ่งเป็นเซ็นทรัล 12 สาขา
โรบินสัน 18 สาขา จะเห็นได้ว่าห้างที่มียอดขายดีมีเพียง 20%
ดังนั้นซัปพลายเออร์น่าจะเลือกขายสินค้าในสาขาที่มียอดขายสูงของเซ็นทรัลและโรบินสันเท่านั้น
เมื่อซัปพลายเออร์ลดจำนวนสาขาที่ขายในเซ็น ทรัลและโรบินสันแล้ว ก็ต้องลดจำนวนพนักงาน
ขายที่ประจำห้างลงด้วย คาดว่าหากซัปพลายเออร์ ดำเนินการในรูปแบบดังกล่าวจริงน่าจะพนักงานขายที่ต้องเลิกจ้างประมาณ
2,000-4,000 คน ไม่
รวมครอบครัวของพนักงานเหล่านี้ที่จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย นอกจากนี้ซัปพลายเออร์จะต้องปรับตัวด้วยการหาช่องทางการจำหน่ายสินค้าอื่นๆ
เพื่อให้
มีรายได้สมดุลย์กับการดำเนินธุรกิจกับเซ็นทรัล เพราะหากช่องทางใดช่องทางหนึ่งมีปัญหาก็ยังสามารถประกอบกิจการอยู่ได้
โดยช่องทางที่ซัปพลายเออร์จะเลือกใช้ คือการเปิดร้านค้าในศูนย์ การค้า
ซึ่งจะใช้เป็นช่องทางจำหน่ายของตัวเอง