Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน16 มิถุนายน 2548
"พฤกษาฯ" มั่นใจโรงงานสำเร็จรูปดันปี 48 กำไร 21%             
 


   
www resources

โฮมเพจ พฤกษา เรียลเอสเตท

   
search resources

พฤกษา เรียลเอสเตท, บมจ.
Real Estate




พฤกษาฯ มั่นใจปี 48 กำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 21% เชื่อโรงงานผลิตชิ้นส่วนสำเร็จรูปช่วยลดต้นทุนก่อสร้าง การเงิน และระยะเวลาช่วยเพิ่มกำไรสุทธิ พร้อมทุ่มอีก 200 ล้านบาท ตั้งโรงงานการผลิตเสาคาน-ผลิตห้องน้ำสำเร็จรูป คาดก่อสร้างเสร็จไตรมาส 1-2 ปีหน้า แจงยอดโอนบ้าน 5 เดือนแรก 2,000 ยูนิต คาดทั้งปีไม่ต่ำกว่า 7,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ากว่า 9,500 ล้านบาท

นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2547 บริษัทมีรายได้รวม 4,871 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 930 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งในตลาด กทม.และปริมณฑล 12.4% โดยเป็นทาวน์เฮาส์ 4,964 หลัง คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 35.2% จากจำนวนยอดโอนทั้งหมด 20,000 หน่วย

ส่วนบ้านเดี่ยวบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 1.4% จากตลาดรวม โดยบริษัทมีกำไรสุทธิจากยอดขายในปีที่ผ่านมา 18-19% ส่วนในปีนี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดโอนบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์รวม 7,000 หน่วย จาก 12 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 9,500 ล้านบาท และตั้งเป้าว่าจะมีกำไรจากยอดขาย 21% ทั้งนี้ การที่บริษัทมั่นใจว่าจะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 21% เนื่องจากบริษัทมีโรงงานผลิตชิ้นส่วนสำเร็จรูป (Precast Concrete) ที่มีศักยภาพในการผลิตชิ้นส่วนสำหรับก่อสร้างบ้านสูงถึง 3,600 หลังต่อปี ซึ่งสามารถช่วยลดต้นทุนในการก่อสร้างได้ 10-15%

เมื่อเทียบกับการก่อสร้างด้วยระบบก่ออิฐฉาบปูน ทำให้สามารถช่วยลดต้นทุนในการก่อสร้างและระยะเวลาในการผลิตสินค้าป้อนตลาดลง โดยขณะนี้บริษัทใช้เวลาก่อสร้างบ้านต่อหลังประมาณ 1 เดือนครึ่ง และใช้กำลังการผลิตประมาณ 50% คาดว่าในต้นปี 2549 จะใช้กำลังการผลิตได้เต็ม 100%

นายทองมากล่าวว่า หลังจากที่บริษัทได้เปิดโรงงานพรีคาสต์เพื่อผลิตบ้านสำเร็จรูปที่มีกำลังการผลิต 1.1 แสนตารางเมตรต่อเดือน ขณะนี้ บริษัทได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างโรงงานใหม่เพื่อผลิตชิ้นส่วนวัสดุเสาคาน รั้วสำเร็จรูป และยังอยู่ระหว่างพิจารณาเลือกเทคโนโลยีการผลิตจากประเทศเยอรมนี เพื่อที่จะก่อสร้างโรงงานผลิตห้องน้ำสำเร็จรูป คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งจะทำให้ระบบการสร้างบ้านของบริษัทมีความรวดเร็วและประหยัดต้นทุน เพราะเป็นการก่อสร้างครบวงจร จากการที่บริษัทมีระบบการก่อสร้างที่ครบวงจรทำให้เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันเชิงธุรกิจโดยบ้านในขนาดพื้นที่เดียวกัน ทำเลเดียวกัน ทำให้บริษัทสามารถขายได้ในราคาต้นทุนต่ำ ถูกกว่าคู่แข่งในพื้นที่

สำหรับระดับราคาขายบ้านที่ผู้บริโภคให้ความสนใจ โดยพิจารณาจากยอดขายบ้านในบริษัท ปรากฏว่าบ้านเดี่ยวในแบรนด์พฤกษา วิลเลจระดับกลางราคา 1.7-2.2 ล้านบาท ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้บริโภค รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยวพฤกษาวิลล์ 1.2-1.7 ล้านบาท ส่วนบ้านภัสสร เดอะคลาสสิค ในระดับราคา 2-3 ล้านบาทนั้น สร้างยอดขายได้ในระดับที่น่าพอใจ

ทั้งนี้จากสถิติการโอนในช่วงไตรมาสบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดทาวน์เฮาส์ระดับกลาง-ล่าง อยู่ที่ 41.9% หรือประมาณ 4,900 หลัง จากตลาดรวม 12,000 หลัง โดยปีที่ผ่านมามียอดโอนบ้านเดี่ยวทั้งปี 1.4% โดยในไตรมาสแรกมียอดโอนแล้ว 3% ส่วน ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมียอดการมอบโอนบ้านและทาวน์เฮาส์แล้วประมาณ 2,000 หน่วย

ด้านนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กล่าวแสดงความเห็นว่า จากการที่มีผู้ประกอบการโครงการจัดสรรหันลงมาเล่นตลาดกลาง 3-5 ล้านบาทค่อนข้างมากนั้น ถือว่าน่าเป็นห่วงว่าสินค้าดังกล่าวจะมีออกมาสู่ตลาดมาก ขณะที่กำลังซื้อจริงๆ นั้นอาจจะไม่หวือหวานัก ซึ่งอาจมีปัญหาเรื่องการขายที่คาดว่าตลาดดังกล่าวจะแข่งขันกันสูง ซึ่งหากผู้ประกอบการรายใดทนภาวะการแข่งขันไม่ไหวก็จะเกิดปัญหา และในที่สุดก็จะหนีลงมาสู่ตลาดต่ำกว่านั้น ดังนั้นก่อนที่ผู้ประกอบการจะออกสินค้าในระดับใดนั้นควรศึกษาตลาดให้ดี   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us