พฤกษาฯ มั่นใจปี 48 กำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 21% เชื่อโรงงานผลิตชิ้นส่วนสำเร็จรูปช่วยลดต้นทุนก่อสร้าง การเงิน และระยะเวลาช่วยเพิ่มกำไรสุทธิ พร้อมทุ่มอีก 200 ล้านบาท ตั้งโรงงานการผลิตเสาคาน-ผลิตห้องน้ำสำเร็จรูป คาดก่อสร้างเสร็จไตรมาส 1-2 ปีหน้า แจงยอดโอนบ้าน 5 เดือนแรก 2,000 ยูนิต คาดทั้งปีไม่ต่ำกว่า 7,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ากว่า 9,500 ล้านบาท
นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2547 บริษัทมีรายได้รวม 4,871 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 930 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งในตลาด กทม.และปริมณฑล 12.4% โดยเป็นทาวน์เฮาส์ 4,964 หลัง คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 35.2% จากจำนวนยอดโอนทั้งหมด 20,000 หน่วย
ส่วนบ้านเดี่ยวบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 1.4% จากตลาดรวม โดยบริษัทมีกำไรสุทธิจากยอดขายในปีที่ผ่านมา 18-19% ส่วนในปีนี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดโอนบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์รวม 7,000 หน่วย จาก 12 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 9,500 ล้านบาท และตั้งเป้าว่าจะมีกำไรจากยอดขาย 21% ทั้งนี้ การที่บริษัทมั่นใจว่าจะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 21% เนื่องจากบริษัทมีโรงงานผลิตชิ้นส่วนสำเร็จรูป (Precast Concrete) ที่มีศักยภาพในการผลิตชิ้นส่วนสำหรับก่อสร้างบ้านสูงถึง 3,600 หลังต่อปี ซึ่งสามารถช่วยลดต้นทุนในการก่อสร้างได้ 10-15%
เมื่อเทียบกับการก่อสร้างด้วยระบบก่ออิฐฉาบปูน ทำให้สามารถช่วยลดต้นทุนในการก่อสร้างและระยะเวลาในการผลิตสินค้าป้อนตลาดลง โดยขณะนี้บริษัทใช้เวลาก่อสร้างบ้านต่อหลังประมาณ 1 เดือนครึ่ง และใช้กำลังการผลิตประมาณ 50% คาดว่าในต้นปี 2549 จะใช้กำลังการผลิตได้เต็ม 100%
นายทองมากล่าวว่า หลังจากที่บริษัทได้เปิดโรงงานพรีคาสต์เพื่อผลิตบ้านสำเร็จรูปที่มีกำลังการผลิต 1.1 แสนตารางเมตรต่อเดือน ขณะนี้ บริษัทได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างโรงงานใหม่เพื่อผลิตชิ้นส่วนวัสดุเสาคาน รั้วสำเร็จรูป และยังอยู่ระหว่างพิจารณาเลือกเทคโนโลยีการผลิตจากประเทศเยอรมนี เพื่อที่จะก่อสร้างโรงงานผลิตห้องน้ำสำเร็จรูป คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งจะทำให้ระบบการสร้างบ้านของบริษัทมีความรวดเร็วและประหยัดต้นทุน เพราะเป็นการก่อสร้างครบวงจร จากการที่บริษัทมีระบบการก่อสร้างที่ครบวงจรทำให้เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันเชิงธุรกิจโดยบ้านในขนาดพื้นที่เดียวกัน ทำเลเดียวกัน ทำให้บริษัทสามารถขายได้ในราคาต้นทุนต่ำ ถูกกว่าคู่แข่งในพื้นที่
สำหรับระดับราคาขายบ้านที่ผู้บริโภคให้ความสนใจ โดยพิจารณาจากยอดขายบ้านในบริษัท ปรากฏว่าบ้านเดี่ยวในแบรนด์พฤกษา วิลเลจระดับกลางราคา 1.7-2.2 ล้านบาท ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้บริโภค รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยวพฤกษาวิลล์ 1.2-1.7 ล้านบาท ส่วนบ้านภัสสร เดอะคลาสสิค ในระดับราคา 2-3 ล้านบาทนั้น สร้างยอดขายได้ในระดับที่น่าพอใจ
ทั้งนี้จากสถิติการโอนในช่วงไตรมาสบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดทาวน์เฮาส์ระดับกลาง-ล่าง อยู่ที่ 41.9% หรือประมาณ 4,900 หลัง จากตลาดรวม 12,000 หลัง โดยปีที่ผ่านมามียอดโอนบ้านเดี่ยวทั้งปี 1.4% โดยในไตรมาสแรกมียอดโอนแล้ว 3% ส่วน ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมียอดการมอบโอนบ้านและทาวน์เฮาส์แล้วประมาณ 2,000 หน่วย
ด้านนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กล่าวแสดงความเห็นว่า จากการที่มีผู้ประกอบการโครงการจัดสรรหันลงมาเล่นตลาดกลาง 3-5 ล้านบาทค่อนข้างมากนั้น ถือว่าน่าเป็นห่วงว่าสินค้าดังกล่าวจะมีออกมาสู่ตลาดมาก ขณะที่กำลังซื้อจริงๆ นั้นอาจจะไม่หวือหวานัก ซึ่งอาจมีปัญหาเรื่องการขายที่คาดว่าตลาดดังกล่าวจะแข่งขันกันสูง ซึ่งหากผู้ประกอบการรายใดทนภาวะการแข่งขันไม่ไหวก็จะเกิดปัญหา และในที่สุดก็จะหนีลงมาสู่ตลาดต่ำกว่านั้น ดังนั้นก่อนที่ผู้ประกอบการจะออกสินค้าในระดับใดนั้นควรศึกษาตลาดให้ดี
|