Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน13 มิถุนายน 2548
"แลนด์ฯ"เล็งปั้นแบรนด์ใหม่ลุยตลาดคอนโดฯ ระดับล่าง             
 


   
www resources

โฮมเพจ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ - แลนด์แอนด์เฮ้าส์

   
search resources

แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์, บมจ.
Real Estate




"แลนด์แอนด์เฮ้าส์" แจงเตรียมปั้นแบรนด์ใหม่ลุยตลาดคอนโดฯ ระดับล่างในปี 49 หลังประสบความสำเร็จในตลาดคอนโดฯระดับกลาง เกาะแนวรถไฟฟ้า ภายใต้แบรนด์ "เดอะแบงค็อค" ชี้ตลาดระดับกลางความต้องการพุ่งพรวด พร้อมเร่งหาที่ดินใหม่ขึ้นโครงการ ย้ำยึดคอนเซ็ปต์ สร้างเสร็จพร้อมอยู่ คาดผุดเพิ่มอีก 2 โครงการปี 49 เผยยอดขาย 5 เดือนแรก 8,000 ล้านบาท

นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เปิดเผยว่า ในปี 2549 บริษัทมีแผนที่จะพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่มีจำนวนดีมานด์สูง โดยจะพัฒนาภายใต้แบรนด์ใหม่ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงของการพิจารณาตั้งชื่อแบรนด์ในการทำตลาดดังกล่าวอยู่ โดยการพัฒนาโครงการในแบรนด์ใหม่นี้ บริษัทจะยังเน้นเป็นรูปแบบการพัฒนาโครงการคอนโดฯพร้อมอยู่ ตกแต่งเสร็จก่อนขาย โดยจะนำระบบก่อสร้างระบบสำเร็จรูปเข้ามาช่วยในการก่อสร้าง เพื่อควบคุมต้นทุนในการก่อสร้าง

ทั้งนี้การที่บริษัทจะพัฒนาจะใช้แบร์นดใหม่ในการพัฒนาคอนโดฯ ในตลาดล่าง เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน และเพื่อเป็นการกำหนดกลุ่มเป้าหมายลูกค้าที่ชัดเจน โดยกลุ่มลูกค้าใหม่จะเป็นกลุ่มที่มีฐานรายได้ที่แตกต่างกัน มีรูปแบบความต้องการที่ต่างกัน โดยจะเน้นการเลือกทำเล เปิดโครงการที่เกาะติดแนวรถไฟฟ้า

ส่วนแบรนด์ เดอะแบงค็อค ที่บริษัทพัฒนาอยู่ ก็จะยังใช้พัฒนาโครงการระดับกลางระดับราคา 3-5 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีคอนโดฯ ในแบรนด์เดอะแบงค็อค ซึ่งก่อสร้างเสร็จพร้อมขาย จำนวน 4 โครงการ โดยได้ปิดการขาย 2 โครงการ คือโครงการที่ถนนสุขุมวิท 61 และถนนทรัพย์ ซึ่งเปิดให้ลูกค้าจองไปเมื่อเดือนธันวาคม 47 ส่วนอีก 2 โครงการบนถนน นราธิวาสฯ ขณะนี้มียอดขายแล้ว 80% และสุขุมวิท 43 เป็นโครงการสุดท้ายที่จะเปิดขายในช่วงปลายปี คาดว่าจะปิดการขายภายใน 2-3 เดือนหลังจากเปิดการขาย

นายนพรกล่าวถึงตลาดรวมคอนโดมิเนียมว่า ในช่วงที่ผ่านมาในย่านใจกลางธุรกิจ (ซีบีดี) ในเขตสุขุมวิท, พระราม 9 และรัชดาภิเษก นับจากช่วงปี 2546 จนถึงปี 2548 พบว่าในตลาดรวมมีจำนวนอาคารชุดที่เปิดตัวใหม่ในตลาดประมาณ 18,000 หน่วย โดยในจำนวนดังกล่าว มีอาคารชุดจำนวน 2 ใน 3 ที่ถูกขายออกไปในตลาด และยังคงมีจำนวนอาคารชุดที่เหลือขายอยู่ในตลาดประมาณ 5,000-6,000 หน่วย โดยอาคารชุดที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จทั้งหมดในปี 2548 นี้

ทั้งนี้ หากแบ่งตลาดคอนโดมิเนียมออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ โดยแบ่งตามระดับราคาขาย ตั้งแต่ระดับราคา 30,000-60,000 บาทต่อตารางเมตร และระดับราคา 60,000- 120,000 บาทต่อตารางเมตร จะพบว่าปัจจุบันตลาดคอนโดมิเนียม ระดับราคา 30,000-60,000 บาทต่อตารางเมตรนั้น ส่วนใหญ่จะพัฒนาห้องพักในรูปแบบสตูดิโอ 40%, แบบห้องชุด 1 ห้องนอน 40% และแบบห้องชุด 2 ห้องนอน 20%

ส่วนห้องชุดในคอนโดมิเนียมระดับราคา 60,000 - 120,000 บาทต่อตารางเมตร สามารถแบ่งออกเป็นห้องชุดแบบห้องสตูดิโอ 20%, ห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน 20% ห้องชุดแบบ 2 ห้องนอน 40% และห้องชุดแบบ 3 ห้องนอน 20% ซึ่งจากความต้องคอนโดมิเนียมระดับกลางระดับราคา 30,000-60,000 บาทต่อ ตารางเมตร ที่เป็นโครงการเกาะติดแนวรถไฟฟ้านั้น มีความต้องการสูงมากขึ้น โดยสังเกตได้จากการตอบรับของผู้บริโภคที่มาจองซื้อจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่เปิดขายโครงการในตลาดกลางดังกล่าว และซึ่งส่วนใหญ่สามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บริษัทสนใจจะหันมาพัฒนาโครงการเพื่อจับตลาดระดับกลาง

นายนพรกล่าวว่า สำหรับในช่วง 5 เดือนของปีที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายแล้ว 8,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดีในปีนี้ บริษัทจะพยายามรักษาระดับจำนวนสต็อกสินค้าบ้านเดี่ยวในมือไว้ให้ไม่เกิน 4,000 ล้านบาท หรือประมาณ 600 หน่วย ซึ่งจำนวนสต๊อกดังกล่าวนี้จะใช้ระยะเวลาในการระบายออกประมาณ 6-7 เดือน โดยในสต๊อกดังกล่าวจะมีสินค้าตั้งแต่ระดับราคา 2-3 ล้านบาท 4-5 ล้านบาท และ 10 ล้าน บาทขึ้นไป ส่วนจำนวนสต๊อกสินค้าคอนโดฯ ปัจจุบันมีจำนวน 20 หน่วย ซึ่งเป็นสต๊อกจากคอนโดมิเนียม 4 โครงการแรก ทั้งนี้ในปี 2547 ที่ผ่านมาบริษัทมียอดโอนสินค้าประมาณ 2,100 หน่วย ส่วนในปีนี้คาดว่าจะมียอดโอนประมาณ 4,000 หน่วยเนื่องจากมียอด โอนสินค้าที่สะสมจากปีที่แล้วซึ่งจะมาโอนได้ในปีนี้ทำให้ยอดโอนในปี 2548 นี้มีจำนวนสูงขึ้น   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us