Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤษภาคม 2528








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤษภาคม 2528
เงินเดือน 20,000 หมื่นบาท พอใช้หรือเปล่า?             
 


   
search resources

Knowledge and Theory




ในหลักการใช้เงินนั้น ผู้รู้ท่านมักจะแนะนำว่าให้ใช้เงินอย่างประหยัดและเก็บหอมรอมริบเอาไว้ แล้วเมื่อแก่เฒ่าก็จะสบายเอง

แต่ผู้รู้ก็ลืมบอกไปว่าวิธีการเก็บหอมรอมริบนั้นมันควรจะเก็บหอมรอมริบอย่างไร เงินทองมันถึงจะงอกเงยเพิ่มพูนขึ้นมาเรื่อยๆ อย่างน้อยก็ต้องเพิ่มพูนเกินกว่าอัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวันนี้

ในการสร้างสมฐานะขึ้นมานั้น สำหรับคนที่มีรายได้ประจำหรือที่เป็นลูกจ้างนั้น มักจะไม่ค่อยมีทางเลือกอะไรมากมายนัก นอกจากการเก็บสะสมออมเงินที่มีต่อเดือนหลังจากหักค่าใช้จ่ายไปเรื่อยๆ

ถ้าโชคดีมีเงินออมก็ดีไป แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมีเงินออมเหลือ มักจะต้องเกินดุลที่ตัวเองมีอยู่

ปัญหาที่ว่านั้นมักจะเกิดขึ้นเพราะเราขาดการวางแผนการใช้เงินหรือภาษาที่ทันสมัยทุกวันนี้คือขาดวินัยการใช้เงิน

การวางแผนใช้เงินนั้น ควรจะเริ่มจากจุดพื้นฐานก่อน นั่นคือการประเมินรายได้ที่เราควรจะได้ในรอบหนึ่งปี

รายได้ในที่นี้หมายถึงเงินเดือนและโบนัสพิเศษ ส่วนรายได้อื่นที่ไม่แน่นอน เช่น รายได้ที่คาดว่าจะได้

จากการเป็นนายหน้าขายที่ดิน ฯลฯ อย่าเอาเข้ามารวมเพราะเมื่อรวมแล้วและจัดสรรเป็นรายจ่ายก็จะไม่ลงตัวถ้ารายได้นั้นเกิดไม่ได้ขึ้นมา

สมมุติว่าสามีภรรยาคู่หนึ่งมีรายได้รวมต่อปีประมาณ 280,000 บาท โดยแบ่งเป็นเงินเดือน 20,000 บาท (คนละหนึ่งหมื่นบาท) โบนัส 40,000 บาท (คนละ 2 เดือน)
เงินเดือน 20,000 บาท ได้รับทุกเดือน
โบนัส 40,000 บาท ได้รับเดือนมีนาคมของทุกปี

ตารางรับจ่ายต่อเดือน
* รายรับ
- 20,000

* รายจ่าย
- ค่าผ่อนบ้าน 5,000 บาท
- ค่าผ่อนรถ 5,000 บาท
- ค่าน้ำมันรถและค่าซ่อม 3,000 บาท
- ค่าน้ำไฟ ค่าอาหาร 3,000 บาท
- ค่าใช้จ่ายประจำตัว 4,000 บาท
- ค่าประกันรถ 800 บาท
รวม 20,800 บาท

ในกรณีเช่นนี้ก็จะพอเห็นอนาคตของสามีภรรยาคู่นี้ได้ชัดว่าคงจะต้องมีหนี้สินแล้วค่อยรอเอาเงินโบนัสมาจ่ายหนี้ และถ้าเป็นเช่นนี้แล้ววงจรหนี้สินแบบนี้ก็คงต้องหมุนเวียนตลอดไป

สมมุติว่าเราจะมานั่งวิเคราะห์กันใหม่ เราจะเห็นว่า

ค่าผ่อนรถ ค่าน้ำมันและค่าซ่อมมีสัดส่วนเป็น 40% ของฐานเงินเดือนซึ่งเป็นสัดส่วนเดียวกับค่าที่อยู่อาศัยและอาหารซึ่งเป็นความจำเป็นของผู้อยู่มากกว่า

ถ้าจะพูดถึง COST & BENEFIT แล้ว ค่าผ่อนรถและค่าน้ำมัน เป็น UNPRODUCTIVE SPENDING เพราะถ้าสามีภรรยาคู่นี้ทำงานประจำก็น่าที่จะสละความสบายที่ความจริงก็สบายกว่ากันไม่มากเท่าไร และมานั่งรถเมล์แทน ซึ่งจะลดลงได้ถึง 7,000 บาทต่อเดือน

แน่นอนที่สุดจะให้สบายเหมือนมีรถยนต์นั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่การมีรถยนต์นั้นมักจะมีรายการใช้จ่ายต่อเนื่องกัน เช่น
- การสังคมที่มากขึ้น
- การออกไปเที่ยวเตร่ที่ถี่ขึ้น
- การบำรุงรักษาตลอดจนการตกแต่งที่ต้องใช้เงิน

ถ้าการมีรถยนต์ไม่ได้ช่วยให้การงานได้เลื่อนตำแหน่งเร็วขึ้นแล้วก็น่าจะกำจัดไปเสีย

การจัดสรรเงินโดยไม่มีรถยนต์ก็จะออกมาในรูปนี้ :-
* รายได้
20,000 บาท

* รายจ่าย
ค่าผ่อนบ้าน :
- 5,000 บาท
ค่าน้ำไฟอาหาร :
- 3,000 บาท
ค่าใช้จ่ายประจำตัว :
- 4,000 บาท
ค่ารถไปทำงาน :
- 2,000 บาท (รวมค่าแท็กซี่บางครั้ง)
รวม : 14,000 บาท
เงินเหลือต่อเดือน : 6,000 บาท

รายได้และรายจ่ายต่อไป
* รายได้
- 240,000 (เงินเดือน) 14,000 x 12
- 40,000 (โบนัส)
- 280,000 บาท

* รายจ่าย
- 168,000
เงินคงเหลือต่อปี 112,000 บาท

ข้อเปรียบเทียบระหว่างการมีรถใน 3 ปี กับการไม่มีรถจะเห็นได้ชัดว่าการไม่มีรถนั้นเมื่อสิ้นสุดปีที่ 3 ถ้าสามีภรรยาคู่นี้ไม่มีรถและรู้จักเอาเงินที่เหลือเก็บมาลงทุนในรูปอัตราดอกเบี้ยแล้วจะมีเงินเหลือ 381,002.50 บาท ในขณะที่ฝ่ายมีรถจะมีเงินสดเหลือเพียง 91,200 บาท ซึ่งส่วนแตกต่างกันจำนวน 290,402.50 คือค่าใช้จ่ายในเรื่องรถ ซึ่งเมื่อสิ้นสุดปีที่ 3 แล้วรถคันนั้นก็คงมีมูลค่าเพียง 50% ของราคาที่ซื้อมาปีแรก ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายยังไม่คิดค่าประกันรถอีกต่างหาก !

การเก็บออมของคนไม่มีรถ
ปีที่หนึ่ง
เงินเก็บต่อเดือน 6,000x12 = 72,000
โบนัส = 40,000
รวมเงินเก็บ = 112,000 ต่อปี

การลงทุนต่อปี

ฝากเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินอัตราดอกเบี้ย 14.5% สิ้นสุดปีที่ 3 (ฝากเพียง 100,000 บาทต่อปี) 345,602.5

นอกจากนั้นยังมีเงินสดสำรองไว้ใช้อีกปีละ 12,000 บาท ซึ่งสามารถเอาไปซื้อประกันชีวิตให้ครอบครัวได้อีกเป็นการสะสมทรัพย์ไปในตัว

ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ว่าการมีรถจะไม่จำเป็น หากแต่ว่าการดู PRIORITY ของชีวิตนั้นจำเป็นกว่า

มีคนอยู่มากที่ทั้งชีวิตทำงานเพียงเพื่อมาผ่อนส่งของหรือซื้อแต่ความสะดวกสบาย

การซื้อความสะดวกสบายนั้นเป็นการปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพของชีวิตให้ดีขึ้นอย่างหนึ่ง

แต่มักจะมีคนเร่งซื้อมันเมื่อตัวเองยังไม่พร้อม !

กรณีของสองสามีภรรยาคู่นี้พอจะเห็นได้ชัดว่าการเร่งหาความสะดวกสบายนั้นคือการตัดอนาคตตัวเองไปสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อครอบครัวต้องขยายมีบุตรมีธิดาเป็นสมาชิกเพิ่มขึ้นมาอีก

อุทาหรณ์นี้น่าจะประยุกต์เข้ากับคนหนุ่มคนสาวที่กำลังโตขึ้นไปในหน้าที่การงานและกำลังอยู่ในช่วงการสร้างตัวให้เป็นปึกแผ่น

การสร้างตัวก็เหมือนการประกอบธุรกิจอย่างหนึ่งตรงที่ว่าถ้ายังไม่พร้อมแล้วก็อย่าเพิ่งขยายหรือจับจ่ายอะไรที่แท้จริงแล้วไม่มีความจำเป็นเลย

นอกจากการลงทุนในตั๋วสัญญาใช้เงินแล้วก็ยังมีการลงทุนในประเภทอื่นหรือก็ยังมีวิธีการใช้เงินส่วนที่เหลือให้เป็นประโยชน์ เช่น

1. อาจจะเอาเงินส่วนที่เหลือไปลดยอดเงินต้นของการผ่อนบ้านเพื่อให้ภาระดอกเบี้ยน้อยลง หรือ
2. เอาเงินไปดาวน์ที่ดินแล้วใช้เงินที่เหลือจากการไม่มีรถผ่อนที่ดินผืนนั้นเพื่อสร้างทรัพย์สินขึ้นมาที่จะมีราคา 2-3 เท่าใน 5-10 ปีข้างหน้าหรือ
3. เอาเงินไปซื้อหุ้นที่เป็น BLUE CHIPS เช่น หุ้นปูนซิเมนต์ไทย หรือธนาคารกสิกรไทย ฯลฯ แล้วเอาเงินปันผลมาจับจ่ายใช้สอย หรือ
4. ค่อยซื้อรถด้วยเงินกู้จากธนาคารโดยเอาเงินฝากค้ำประกันก็จะประหยัดดอกเบี้ยจากการผ่อนรถได้ถึงเกือบ 10% ต่อปี ฯลฯ

แต่ทั้งหมดนี้จะทำไม่ได้ถ้าเราไม่มีการวางแผนการบริหารเงิน

สังคมไทยทุกวันนี้เรามี UNPRODUCTTIVE SPENDING อยู่มาก ฉะนั้นสำหรับคนฉลาด

ถ้ารู้ว่าสิ่งใดเป็น UNPRODUCTTIVE SPENDING แล้วถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็จะเป็นการดีที่สุด   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us