|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
สุวิทย์สั่งทีโอที แก้ปัญหาบิลลิ่งป่วนโดยด่วน พร้อมให้รายงานผลสอบข้อเท็จจริง ใครผิด คนหรือระบบ ชี้ต้องปรับระบบบริหารภายในให้เกิดประสิทธิภาพ รองรับแผนเข้าตลาดฯ ด้านสมาร์ทการ์ดมั่นใจข้อเท็จจริงบัตรสามารถใช้งานได้
นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่า ได้เข้าหารือกับ นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานบอร์ดบริษัท ทีโอที นายธีรวิทย์ จารุวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ตัวแทนบริษัทเอกชนที่เป็นผู้วางระบบบริหารจัดการเก็บเงินหรือระบบบิลลิ่ง เนื่องจากเกิดปัญหาในการให้บริการ โดยได้กำชับให้ทีโอทีเร่งรัดในการแก้ปัญหา เพื่อไม่ให้กระทบกับรายได้ของทีโอที เพราะเพิ่งได้รับรู้ถึงปัญหาด้วยตัวเองเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาว่าระบบบิลลิ่งใหม่ที่เปิดใช้งานมีปัญหามาก
"ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากหลายส่วนอย่างการเปลี่ยนรูปแบบบิลลิ่งใหม่ จากระบบเดิมคือบาร์โคดมาเป็นระบบใหม่ ความพร้อมของพนักงานบริการเพราะการอบรมที่เคยทำได้ผ่านเวลามานานระยะหนึ่งแล้ว รวมทั้งการประสานงานกันระหว่างเอกชนผู้ทำระบบกับทีโอทียังไม่ลงตัว"
ความบกพร่องของระบบบิลลิ่งทำให้เกิดการประมวลผลค่าบริการที่คลาดเคลื่อนทั้งๆ ที่จำนวนเงินที่จะจัดเก็บตามใบแจ้งหนี้กับตัวเลขที่แสดงหน้าคอมพิวเตอร์ออนไลน์ต้องตรงกัน รวมทั้งระบบใหม่ยังใช้ชื่อแทนการใช้เบอร์ โดยตามแผนทีโอทีหวังที่จะพัฒนาระบบบิลลิ่งให้เป็นแบบเรียลไทม์ เหมือนที่เอกชนมีอยู่
"ต้องแก้ปัญหาให้เสร็จภายใน 1-2 วันนี้ ซึ่งทราบว่าทีโอทีจะมีการสอบสวนข้อเท็จจริงถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและประธานบอร์ดก็ควรจะต้องมารายงานผลให้ทราบ"
นอกจากกำชับเรื่องแก้ปัญหาระบบบิลลิ่งแล้ว ทีโอทียังต้องมีการปรับปรุงระบบบริหารระบบงานภายในให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หากผู้บริหารภายในไม่มีความรู้ความสามารถเพียงพอก็ให้หาผู้บริหารจากภายนอกอย่างตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ส่วนเรื่องระบบบิลลิ่งนายธีรวิทย์จะเข้ามารับผิดชอบเอง รวมทั้งทีโอทีจะต้องมีการปรับองค์กรในส่วนของหน่วยธุรกิจหรือ Business Unit ส่วนไหนที่ควรรวมไว้ด้วยกันก็ควรรวม ส่วนไหนควรแยกออกมาตั้งเป็นบริษัทใหม่ เพื่อนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ต้องรีบดำเนินการ เพื่อให้เป็น Profit Center มากกว่าเป็น Cost Center
นายสุวิทย์กล่าวว่า การเข้ามาดูแลทีโอทีมากขึ้นเป็นเพราะนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการให้รัฐมนตรีที่มีหน่วยงานในสังกัดเป็นรัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทเข้าไปดูแลเรื่องบริหารจัดการให้มากขึ้น รวมทั้งด้านการเงินด้วยว่ามีการบริหารที่มีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน ควรคงไว้หรือแปรสภาพ รวมทั้งดูแลเรื่องการเตรียมความพร้อมในการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วย
อย่างไรก็ตาม นายสุวิทย์กล่าวว่า ในช่วง 3 เดือน ที่เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที ไม่เคยได้รับรายงานการดำเนินการใดๆของทีโอทีเลย โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญอย่างการขยายโทรศัพท์ 5.6 แสนเลขหมาย ที่ตนเองเป็นประธานในการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) แต่ปรากฏว่าทีโอทีเซ็นสัญญาเงียบๆไปตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมาโดยไม่รู้เรื่อง
แหล่งข่าวในทีโอทีกล่าวว่า กรณีระบบบิลลิ่งเกิดปัญหาจนนำไปสู่การปลดนายชัยเชวง กฤตยาคม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทีโอที ให้พ้นจากตำแหน่งและให้ทำงานตามที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น ดูเป็นเรื่องใหญ่มากกว่าที่นายธีรวิทย์ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ระบบบิลลิ่งตอนนี้ได้ดำเนินการแก้ไขแล้ว ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นเรื่องปกติของระบบที่ไม่สามารถใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ทั้งหมด โดยที่ระบบอาจจะต้องมีผิดพลาดได้บ้าง และปัญหาที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้ของผู้ให้บริการรายอื่นก็เคย เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นของ บริษัท แอดวานซ์อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น หรือ ทรู ที่กว่าจะใช้งานได้ ต้องใช้เวลากว่า 4 เดือน
"ถ้านายธีรวิทย์บอกเป็นเรื่องปกติ คนอื่นใช้เวลากว่า 4 เดือนระบบ ถึงนิ่งทำไมต้องปลดนายชัยเชวง อย่างนี้ถือว่าไม่เป็นธรรมหรือเปล่า หรือที่ว่าปกติเป็นแค่กลบเกลื่อน"
สำหรับนายชัยเชวงนั้นเคยเป็นประธานพิจารณาประมูลโครงการระบบบิลลิ่ง มูลค่า 1,190 ล้านบาท โดยในช่วงนั้น สหภาพฯ และผู้เข้าร่วมประมูลได้เคยมีการท้วงติงว่าบริษัท เทเลเมติคส์ที่ชนะการประกวดราคาในที่สุด มีความสัมพันธ์กับบริษัทที่ปรึกษาที่ทีโอทีจ้างทำทีโออาร์และกระบวนการ Benchmark ทำให้การพิจารณาส่อไปในทางที่ไม่ชอบมาพากล ทำให้ผู้เข้าประกวดราคาบางรายตกไป ทั้งๆ ที่รายที่สอบตกนั้นเป็นเจ้าของซอฟต์แวร์ที่เอไอเอสใช้ในระบบบิลลิ่ง เพื่อให้บริการลูกค้ามากกว่า 15 ล้านราย ด้วยโปรโมชันที่หลากหลาย และด้วยรูปแบบการโทร.ที่ซับซ้อนกว่าของโทรศัพท์พื้นฐานทีโอทีมากมายด้วย
ยันสมาร์ทการ์ดใช้งานได้
นายสุวิทย์ กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีการตรวจสอบปัญหาการใช้งานบัตรสมาร์ทการ์ดว่าผลการตรวจสอบจากเนคเทคนั้นเป็นแค่ข้อสังเกต โดยไอซีทีจะพิจารณาตามข้อเท็จจริงเป็นหลักว่าเป็นอย่างไร พร้อมกับหาข้อพิสูจน์ต่างๆ ได้ว่าอะไรที่ทำได้หรือทำไม่ได้
"ต้องดูประเด็นข้อเท็จจริงเป็นหลัก เพราะข้อเท็จจริงมีคนรับผิดชอบ แต่ข้อสังเกตก็ตั้งไว้เช่นนั้น จะเป็นจริงหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และไม่ต้องรับผิดชอบ"
ด้านนายไกรสร พรสุธี ปลัดกระทรวงไอซีที กล่าวว่า เมื่อวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมา กรมการปกครองกับกระทรวงไอซีที ได้มีการทดสอบการออกบัตรสมาร์ทการ์ดร่วมกัน ซึ่งสามารถออกบัตรได้ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
"สรุปง่ายๆ ว่าบัตรสมาร์ทการ์ดสามารถใช้งานจริงได้"
นอกจากนี้ กระทรวงไอซีทีพร้อมชี้แจงว่า เรื่องการจัดประมูลและการลงนามสัญญาทุกอย่างเป็นไปตามสัญญาการจัดซื้อจัดจ้างทุกขั้นตอน ซึ่งกระทรวงไอซีทีจะได้ส่งรายงานให้นายกรัฐมนตรีพิจารณา
เดินหน้าไอซีที เอ็กซ์โป
นายสุวิทย์ กล่าวว่า ไอซีทีจะจัดงาน "Bangkok International ICT EXPO 2005" ขึ้น ระหว่างวันที่ 3-7 สิงหาคม 2548 เพื่อเป็นการจัดงานให้ต่อเนื่องจากที่ผ่านมา ที่จะช่วยแสดงถึงการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความเป็นศูนย์กลางด้านไอซีทีของอาเซียน โดยการจัดงานครั้งนี้มีแนวคิดสำคัญคือ กระตุ้นให้เกิดการค้าระหว่างกัน (Business to Business) ที่จะช่วยสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไอทีของไทย โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าต่างๆ เช่น แอนิเมชัน ซอฟต์แวร์ ที่ยังเป็นธุรกิจขนาดเล็กให้สามารถก้าวไปสู่ตลาดในระดับนานาชาติได้ และจะมีผู้เข้าร่วมงานจากต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 20 ประเทศ โดยมีการตอบรับมาแล้ว อาทิ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฟินแลนด์ เยอรมนี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน และแคนาดา
"งานนี้คาดว่าจะมีเงินสะพัด ไม่ต่ำกว่า 500-1,000 ล้านบาท โดยในปีที่ผ่านมามีเงินสะพัด 2,300 ล้านบาท"
|
|
|
|
|