บิ๊กคิวเฮ้าส์เดินหน้าคุมตลาดที่อยู่อาศัยทุกเซกเมนต์ ดันบริษัทลูกคิว.เฮ้าส์ ออฟฟิศฯ ลุยทำบ้านระดับล่างต่ำ 4 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ใหม่ คาซ่าวิลล์ ประเดิม 2 โครงการทำเลวัชรพลและเส้นรัตนาธิเบศร์ มูลค่าเกือบ 5,000 ล้านบาท วิเคราะห์กำลังซื้อชี้กลุ่มอายุ 20-40 ปีจะเป็นฐานที่ใหญ่ และต้องการที่อยู่อาศัยอย่างมาก
ในช่วงที่ผ่านมา ด้วยกลยุทธ์ทางด้านนโยบายของบริษัทควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือของกลุ่มแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ฯ ที่มุ่งทำตลาดบ้านระดับพรีเมียมด้วยการเจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบนจน ประสบความสำเร็จทั้งในเรื่องของยอดขาย และตราสินค้า (แบรนด์) ของบริษัทที่ติดตลาด จนทำแบรนด์ของบริษัทมีพรีเมียมต่อการขยายตลาดที่ได้เปรียบกว่าคู่แข่ง แต่กระนั้นด้วยปัจจัยแวดล้อมทางสภาพเศรษฐกิจและปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาฯ ต้องมีการปรับตัว เพื่อหาช่องทางการตลาดในการเข้าถึงแหล่งกำลังซื้อ เพื่อต่อยอดในด้านของการสร้างยอดขายที่เติบโตขึ้น
"เราไม่ได้คุย แต่ลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัท ทุกๆ ธนาคารพาณิชย์อยากได้ลูกค้าของเรา เหตุผลก็คือ ลูกค้ามีปัญหาเรื่องหนี้น้อยมากๆ ลูกค้าซื้อโครงการด้วยแบรนด์ของบริษัท ทำให้ตรงนี้ช่วยสกรีนลูกค้าไปอีกรอบหนึ่ง อีกทั้งค่าของบ้านไม่ได้ลดลง เวลาขายก็ขายได้ราคาที่ดี แม้แต่โบรกเกอร์ที่ขายสินค้าให้บริษัทยังสามารถขายได้ราคาที่ดี แต่ต้องย้ำว่านโยบายของคิวเฮ้าส์ สินค้าเน้นหนักระดับสูงกับสูงมาก เราเป็นหนึ่งในไม่กี่รายที่ทำตลาดบ้านหรู มีส่วนแบ่งตลาดที่เยอะ" นายรัตน์ พานิชพันธ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ "ผู้จัดการรายวัน"
ล่าสุดบริษัทได้ปรับกลยุทธ์ในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าระดับล่างมากยิ่งขึ้น โดยนายรัตน์อธิบายว่า การพัฒนาโครงการบ้านระดับราคาต่ำกว่า 4 ล้านบาท จะไม่ใช่การพัฒนาโดยบริษัทควอลิตี้เฮ้าส์ฯ แต่จะเป็นบริษัท คิว.เฮ้าส์ ออฟฟิศ แอนด์ คอมเมอร์เชียล แมเนจเม้นท์ จำกัด ซึ่งถือหุ้นโดยบริษัทในสัดส่วน 100% ดำเนินการภายใต้แบรนด์ใหม่ที่ชื่อว่า คาซ่าวิลล์ โดยในช่วงแรกจะพัฒนา 2 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท จำนวน 600 ยูนิต แบ่งเป็นโครงการที่ทำเลวัชรพล ขนาดโครงการ 100 ไร่ เป็นรูปแบบบ้านเดี่ยวที่มีหลากหลายให้ลูกค้าเลือก แยกการพัฒนาเป็น 2 เฟส รวมจำนวน 400 ยูนิต และทำเลรัตนาธิเบศร์ที่สามารถเชื่อมกับถนนราชพฤกษ์ บนเนื้อที่ 50 ไร่ จำนวน 200 ยูนิต ซึ่งอยู่ระหว่างการออกแบบบ้าน โดยทั้ง 2 โครงการ คาดจะเริ่มพัฒนาปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า
"เรื่องของฐานข้อมูลคิดว่าไม่น่าจะเป็นปัญหากับเรา เพราะข้อมูลที่อยู่ในมือค่อนข้างละเอียดมีทุกกลุ่มลูกค้า เช่น โครงการลัดดารมย์ในทำเลวัชรพล ที่ทำตลาดระดับราคา 5-8 ล้านบาท ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าหากใช้แบรนด์ของคิวเฮ้าส์ทำตลาดล่างลูกค้าจะเกิดความสับสน แต่บริษัทลูกค้าจะมีความคล่องตัวกว่าต้นทุนไม่สูง เรื่องของทุนของบริษัทลูกคิดว่าต้องเพิ่มทุนแต่คงไม่มากเท่าไหร่" นายรัตน์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันการทำโครงการของคิวเฮ้าส์จะมีการแบ่งแยกแบรนด์ในการทำตลาดอย่างชัดเจน คือ แบรนด์พฤกษ์ภิรมย์เจาะกลุ่มระดับบน ระดับ ราคา 15-100 ล้านบาท, แบรนด์ ลัดดารมย์เจาะกลุ่มระดับกลาง ระดับราคา 6-12 ล้านบาท และ แบรนด์วรารมย์ เจาะกลุ่มระดับล่างราคา 5-10 ล้านบาท โดยบ้านที่ต่ำกว่า 20-10 ล้านบาท บริษัทจะมียอดขายในสัดส่วนที่มาก ขณะที่บ้านระดับต่ำกว่า 10 ล้านบาท สินค้าที่พัฒนาเหลือไม่มาก
ทั้งนี้จากการตรวจสอบของผู้สื่อข่าวพบว่า ในทำเลย่านวัชรพลมีโครงการของผู้ประกอบการหลายค่ายไปลงทุนที่เจาะกลุ่มระดับล่าง เช่น โครงการบ้านแก้วกานต์วัชรพล บ้านเดี่ยว ราคา 3-5 ล้านบาท ของบริษัท เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด, โครงการบายเพลส บ้านเดี่ยว ราคา 3.5 ล้านบาท ของบริษัท นัมเบอร์วันเฮ้าส์ซิ่ง จำกัด, โครงการของบริษัทมั่นคงเคหะการ, โครงการของบริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ฯ และโครงการโนเบิล ลานา ของโนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เป็นต้น ขณะที่ทำเลย่านรัตนาธิเบศร์ เช่น โครงการภัสสร 7 ราคา 4-7 ล้าน บาท ของบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เป็นต้น
การตลาดเชิงรุกหนุนปิดโครงการไว
นายรัตน์กล่าวว่าภายหลังที่บริษัทได้ใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ตรงกลุ่ม ส่งผลให้ยอดขายโครงการต่างๆ ของบริษัทมีความคล่องตัวและสร้างยอดขายที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทได้เร่งยอดการขายเต็มที่ ทำให้คาดว่าในปีนี้จะปิดการขายโครงการได้หลายแห่ง อาทิ โครงการพฤกษ์ภิรมย์ รีเจ้นท์ พระราม 2 ปิดไตรมาส 2, โครงการพฤกษ์ภิรมย์ รีเจ้นท์ เกษตร- นวมินทร์, โครงการลัดดารมย์ ปิ่นเกล้า, โครงการวรารมย์ ประชาอุทิศ- ธนบุรี ปิดไตรมาส 3 และโครงการ วรารมย์ เพชรเกษม 81 ปิดไตรมาส 4
"เราต้องหาซื้อที่ดินเพื่อเตรียมความพร้อมกับโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในช่วงระหว่างปี 2548-2550 โดยตามแผนได้จัดสรรงบลงทุนในด้านการจัดหาที่ดินเพิ่มเป็น 3,000 ล้านบาท คิดเป็นจำนวน 700 ไร่ ซึ่งในปีนี้จะเปิดบ้านจัดสรร 2 แห่ง คือ โครงการลัดดารมย์ วัชรพล โครงการลัดดารมย์ Elegance รามคำแหงขณะที่ในปี 2549 จะเปิดอีก 6 โครงการและปี 2550 คาดว่าจะมากกว่านี้ ซึ่งจำนวนโครงการอยู่ระหว่างประเมินแผนการลงทุนอีกครั้ง" นายรัตน์กล่าว
นายรัตน์กล่าววิเคราะห์ตลาดที่อยู่อาศัยว่า ความต้องการยังมีอยู่ เพียงแต่ใครจะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ตรงกลุ่มมากที่สุดจะเป็นผู้ได้เปรียบ กว่าคู่แข่ง โดยเฉพาะคนไทยที่มีอายุระหว่าง 20-40 ปี จะเป็นตลาดที่ใหญ่และกว้างขึ้นและมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย ส่วนคนที่อายุเกิน 40 ปี จะมีปริมาณที่ลดลงต่อเนื่องซึ่งเป็นไปตามวัฏจักร
"คนกลุ่มนี้เมื่อมีรายได้จะเริ่มหันมามองทรัพย์สินที่สร้างความมั่นคงในอนาคต บ้านจึงเป็นตัวเลือกแรก และบ้านเป็นอะไรที่ไม่เน่า บ้านค่าเสื่อมไม่เร็วเหมือนรถยนต์ บ้านก็คือบ้าน บ้านซื้อไปราคาต่อหนี้น้อย เพราะทำเลจะมีส่วนผลักดันให้ราคาดีขึ้น แต่ยิ่งถ้าชุมชนภายในหรือรูปลักษณ์ของโครงการดีราคาก็ดีตามไปด้วย เหมือนที่คิวเฮ้าส์เนรมิตโครงการให้มีความโดดเด่นทั้งหน้าโครงการที่มีน้ำตก มีความร่มรื่น โดยเฉพาะโครงการที่พฤกษ์ภิรมย์ สาทร-ธนบุรี ตัดใหม่ จะมีลูกเล่นใหม่ มีตุ๊กตาที่สามารถบอกเวลาให้กับลูกค้าทั้งภายในโครงการและผู้ที่สัญจรผ่านหน้าโครงการ การรักษาความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย เป็นต้น" นายรัตน์กล่าวทิ้งท้าย
|