Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน30 พฤษภาคม 2548
"ประชัย"วัดใจธรรมาภิบาลรัฐ ยันดึงทุนจีนร่วมทีพีไอทุกฝ่ายมีแต่ได้             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
โฮมเพจ อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย (TPI) - ทีพีไอ
โฮมเพจ กระทรวงการคลัง

   
search resources

อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย, บมจ.
ปตท., บมจ.
กระทรวงการคลัง
ประชัย เลี่ยวไพรัตน์
Chemicals and Plastics




"ประชัย เลี่ยวไพรัตน์" วัดใจธรรมาภิบาลรัฐบาล ไม่หวั่นคลังเดินหน้าเซ็นสัญญาปตท.และพันธมิตรซื้อหุ้นทีพีไอ 1 มิ.ย. นี้ ลั่นหากมีปัญหาเกิดขึ้นผู้บริหารแผนฯต้องรับผิดชอบโดยส่วนตัว เผยมั่นใจแผนผนึกพันธมิตร "ซิติกกรุ๊ป" จากจีน ทุกฝ่ายจะได้ผลประโยชน์จากทีพีไอทั่วหน้า การันตีเจ้าหนี้ได้เงินคืน แถมสามารถตัดสำรองหนี้สงสัยจะสูญได้ทันทีไม่ต้องรอ 12 ปีเหมือนแผนของคลัง หนุนฐานะของแบงก์ให้แข็งแกร่งขึ้น ขณะที่ผู้ถือหุ้นเดิมไม่ถูกกระทบ เผยด้วยศักยภาพยักษ์ใหญ่ปิโตรเคมีของจีนจะส่งผลให้ทีพีไอ สร้างยอดกำไรในปีแรกไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้าน

ในวันพุธที่ 1 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ การฟื้นฟูกิจการของ บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือทีพีไอ ผู้ดำเนินธุรกิจ ปิโตรเคมีรายใหญ่ของไทยที่สร้างตำนานประวัติศาสตร์เป็นองค์กรเอกชนที่ได้รับผลพวงจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 มีภาระหนี้ผูกพันกว่าแสนล้านบาท จะก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอีกครั้ง โดยกระทรวงการคลังในฐานะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการจะลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นกับพันธมิตร ที่นำโดยบริษัท ปตท.

ทว่า จากกรณีที่นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีพีไอ ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางในฐานะผู้ถือหุ้นเดิมและหรือผู้ค้ำประกันภาระหนี้ของลูกหนี้และบริษัทในเครือของลูกหนี้ทั้งหมด 2,700 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.08 แสนล้านบาท เพื่อขอชำระหนี้ดังกล่าว โดยมีกลุ่มซิติกกรุ๊ป (China International Trust and Investment Corp :Citic) จากจีนเป็นพันธมิตร เมื่อวันที่ 25 พ.ค.48 ที่ผ่านมา ซึ่งต่อมาในวันเดียวกัน ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้นายประชัยนำเงินที่จะชำระหนี้ แก่เจ้าหนี้มาวางที่ศาลก่อนเพื่อจะพิจารณาตามที่เห็นสมควรต่อไปนั้น ถือเป็นปัจจัยแทรกเข้ามาใหม่ที่ไม่อาจมองข้ามได้

นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีพีไอ เปิดเผย "ผู้จัดการรายวัน" ว่า การเซ็นสัญญาระหว่างคลังกับพันธมิตรที่จะมีขึ้นวันที่ 1 มิ.ย.นี้ไม่ใช่ประเด็นที่เขา ต้องกังวลเพราะทุกอย่างเป็นไปตามที่คลังต้องการ ซึ่งกระบวนการต่างๆ ผ่านศาลมาแล้ว แต่ผู้บริหารแผนฯต้องไม่ลืมว่า ถ้าการเซ็นสัญญาไป แล้วทุกอย่างดีก็ดีไป แต่ถ้าหากมีปัญหาติดขัดเกิดขึ้นในอนาคต หลังจากล่าสุดศาลมีคำสั่งออกมาพร้อมกับแจ้งให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ทราบถึง แผนการชำระหนี้ที่ตนได้ดึงกลุ่มซิติกกรุ๊ปมาร่วม เป็นพันธมิตรที่จะใช้เวลาไม่เกิน 90 วันจากนี้ตรวจสอบฐานะสินทรัพย์และหนี้สิน (ดิวดิลิ-เจนซ์) ผู้บริหารแผนก็ไม่อาจจะปฏิเสธความรับผิดชอบส่วนบุคคลได้

นายประชัยกล่าวว่า หลังจากศาลมีคำสั่งดังกล่าวทำให้มีความมั่นใจว่าการต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิในทีพีไอที่มีมาอย่างยาวนานจะลงเอยด้วยดี ซึ่งรัฐบาลจีนเองก็ส่งสัญญาณ พร้อมที่จะช่วยเหลือทุกด้าน โดยเฉพาะด้านการเงินที่ศาลต้องการให้เขาและผู้ร่วมทุนใหม่มาวางนั้นไม่มีปัญหาเลย ขณะที่ได้ติดต่อสถาบันการเงินที่จะให้กู้เงินเพื่อจะชำระหนี้ 2.7 พันล้าน เหรียญสหรัฐได้ทันที พร้อมกับจะลงทุนเพื่อขยายธุรกิจเพิ่มมากขึ้น

"ทีพีไอเป็นบริษัทที่โปร่งใสมาก ไม่มีอะไรจะบิดพลิ้วได้เพราะผ่านการชำแหละมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว การตรวจสอบคาดว่าไม่เกิน 1-2 เดือนนี้น่าจะจบ จากนั้นก็ขึ้นอยู่กับศาลจะพิจารณาอย่างไรต่อไป หากมีเหตุขัดข้องเนื่องจากคำสั่งศาลในอนาคตย่อมส่งผลต่อการซื้อขายหุ้นให้ปตท.และพันธมิตรที่เซ็นกันไปแล้ว ผู้บริหารแผนต้องรับผิดชอบโดยบุคคล เช่น เมื่อขายหุ้นออกไป ก็ต้องไปหาหุ้นมาให้ปตท. และพันธมิตรเอง ไม่เกี่ยวกับทีพีไอ"

วัดใจธรรมาภิบาลของรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเมื่อวันที่เดินทางไปตรวจเยี่ยมกิจการของทีพีไอเมื่อวันที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า การยื่นคำร้องของนายประชัยจะไม่ส่งผลต่อการเซ็นสัญญากับ ปตท.ในวันที่ 1 มิ.ย.นี้ เพราะการฟื้นฟูกิจการของทีพีไอขณะนี้เงินไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่การให้สัมภาษณ์ของนายสมคิดก็ขัดแย้งกันเองกับครั้งก่อนหน้านี้เขาเคยระบุว่า จะเปิดโอกาสให้นักลงทุนใครก็ตามหรือ แม้แต่นายประชัยในฐานะผู้ถือหุ้นเดิมและผู้ก่อตั้งกิจการทีพีไอเข้ามาลงทุนในทีพีไอได้ หากสามารถชำระหนี้เจ้าหนี้ได้ พร้อมกับเปิดเผยแหล่งเงินและพันธมิตรที่ชัดเจนมาแสดงต่อกระทรวงการคลัง

ในวันเดียวกัน นายประชัยได้กล่าวตอบโต้ในประเด็นนี้ว่า คลังทำผิดมารยาท และขัดต่อหลักธรรมาภิบาลที่รัฐบาลชุดนี้แถลงเป็นนโยบายสำคัญในการบริหารประเทศ ซึ่งเมื่อศาลมีคำสั่งให้เขาและพันธมิตรแสดงแหล่งเงินที่จะเข้ามาฟื้นฟูกิจการของทีพีไอ สมควรอย่างยิ่งที่กระทรวงการคลังต้องเลื่อนการเซ็นสัญญาซื้อหุ้นเพิ่มทุนออกไปก่อน

เดิมนั้น นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา หนึ่งในคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการบริษัท ทีพีไอ ระบุว่า จะสามารถเซ็นสัญญากับ ปตท. และพันธมิตรได้ราววันที่ 20 มิ.ย.นี้ โดยการเลื่อนมาเซ็นสัญญาเร็วขึ้นมาเป็นวันที่ 1 มิ.ย.ก็ถูกตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลพยายามเร่งปิดทางนายประชัยให้เร็วที่สุด ขณะที่เมื่อวันอังคารที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังชงแผนการจัดสรรหุ้นของทีพีไอให้ ครม.รับทราบ ยิ่งเพิ่มน้ำหนักความเชื่อนี้ให้มีมากขึ้นไปอีก

"ขณะนี้มีนักลงทุนจำนวนมากติดต่อมาทั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อขอซื้อหุ้นทีพีไอ ซึ่งได้รับฟังไว้ แต่ผมไม่มีคำตอบให้ เพราะมั่นใจว่าเดินถูกทาง ปตท.เป็นกิจการของรัฐ ผมเชื่อว่าจะทำให้ทีพีไอแข็งแกร่งขึ้น ขอยืนยันว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม คือในวันที่ 1 มิ.ย.นี้จะลงนามซื้อขายหุ้น หลังจากนั้นจะให้นำเงินเข้ามาให้เร็วที่สุดเพื่อใช้หนี้" เป็นคำยืนยันจากนายสมคิดถึงท่าทีที่ชัดเจนในการเลือก ปตท.เข้ามาถือหุ้นในทีพีไอ

ชี้เป็นเกมการเมือง คลังอาจตั้งแง่

แหล่งข่าวจากศาลล้มละลายกลาง กล่าวว่า เหตุผลที่เปิดโอกาสให้นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ในฐานะลูกหนี้ทีพีไอ ดำเนินการหาเงินมาแสดง เพื่อให้เห็นความสามารถในการชำระหนี้คืนให้เจ้าหนี้จำนวน 2,700 ล้านดอลลาร์นั้น เพื่อเป็นการลดแรงกดดันต่อนายประชัย แต่ถึงแม้ว่านายประชัยจะสามารถหาเงินมาแสดงต่อศาลตามที่ศาลมีคำสั่งก็ใช่ว่าทุกอย่างจะลงเอยได้ เพราะสุดท้ายแล้วก็ต้องให้ผู้บริหารแผนฯหรือคลัง พิจารณาตามกฎหมายที่กำหนดไว้

กล่าวคือ ตามกฎหมายล้มละลายได้ระบุว่า การจะทำอะไรที่นอกเหนือจากแผนฟื้นฟูกิจการ ต้องได้รับความยินยอมจากผู้บริหารแผนก่อน และหากมีการปรับเปลี่ยนแผนก็ต้องเสนอเรื่อง ให้ที่ประชุมเจ้าหนี้รับทราบด้วย ซึ่งต้องใช้ระยะเวลา

"มองในแง่ของความเป็นไปได้ ถ้าคุณประชัยนำเงินก้อนโตมาชำระหนี้ ก็ใช่ว่าคลังจะไม่มีสิทธิ์ โดยคงต้องมีการกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการบริหารจัดการ เงื่อนไขของคุณประชัยเกี่ยวกับส่วนได้เสียภายในทีพีไอ อย่าลืมว่าคดีนี้เป็นคดีการเมือง และวุ่นวายมากๆ แน่นอนจากข่าวที่ออกมาอย่างต่อเนื่องแสดงให้เห็นจุดยืนของคลังที่จะไม่ยอมอย่างชัดเจน และหากมองในแง่ของรัฐบาลสามารถมีข้ออ้างได้ โดยใช้นโยบายและกฎหมายเข้ามาดำเนินการ เช่น ธุรกิจปิโตรเลียมเป็นธุรกิจหนึ่งในทีพีไอที่มีความสำคัญต่อประเทศชาติ และมีศักยภาพในเชิงการ แข่งขันที่เหนือกว่าคู่แข่ง" แหล่งข่าวกล่าว

แหล่งข่าวกล่าวยอมรับว่า ในกระบวนการพิจารณาการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ ศาลไม่ได้มองแค่เฉพาะตัวลูกหนี้อย่างเดียว แต่จะเน้นในเรื่องสังคม ผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศด้วย ทุกอย่างต้องดูให้รอบคอบ คำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ ซึ่งคนทั่วไปจะไม่เข้าใจเหตุผลของศาลว่าเพราะอะไรจึงทำเช่นนี้

"เกมนี้คงเหนื่อยอีกนาน ซึ่งประเด็นหากมีการเซ็นบันทึกข้อตกลงเบื้องต้น (เอ็มโอยู) ในวันที่ 1 มิ.ย.นี้แล้ว หากลูกหนี้หาเงินมาได้ ตรงนี้ไม่ชัวร์เหมือนกันเอ็มโอยูที่เซ็นไปจะเป็นโมฆะ หรือไม่ และหากคุณประชัยอ้างว่าหากต้องรอผู้ร่วมทุนจากฝ่ายของผู้บริหารแผนอาจจะทำให้เกิดความเสียหายได้ ตรงนี้ทุกๆ คนมีเหตุผลมาอ้างได้แต่ศาลก็มีเหตุผลของศาล" แหล่งข่าวกล่าว

ย้ำคนบริหารทีพีไอต้องรู้จักธุรกิจ

นายประชัยกล่าวว่า การเข้ามาถือหุ้นทีพีไอของ ปตท.ซึ่งปัจจุบันแปรรูปเป็นบริษัทมหาชนจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เหมือนการย้อนกลับไปสู่วงจรความเป็นรัฐวิสาหกิจที่จะสร้างความสับสนใจแก่นักลงทุน และไม่มีธรรมาภิบาลที่ดีตามที่รัฐบาลประกาศนโยบาย

นายประชัยเชื่อว่าเขาและซิติกกรุ๊ปซึ่งจะร่วมกันจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเข้ามาถือหุ้นในทีพีไอ ย่อมจะสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนได้ดีกว่า เพราะหากเปรียบเทียบความเป็นเจ้าของและเชี่ยวชาญในธุรกิจปิโตรเคมีแล้วรู้ดีว่าจะต้องทำอย่างไรกับธุรกิจ ยกตัวอย่างเช่น การประหยัดต้นทุน ซึ่งผู้บริหารที่เข้าใจย่อมประหยัดได้มากกว่าแน่นอน และที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนแล้วว่า ตั้งแต่ช่วงแรกสมัยของบริษัทเอฟเฟ็คทีฟแพลนเนอร์ (EP) เข้ามาบริหารแผนในยุคแรกได้ถลุงเงินทีพีไอไปมหาศาล

"อีพีว่าถลุงเงินของทีพีไอไปเยอะแล้ว ภายใต้การบริหารแผนของผู้บริหารแผนชุดนี้ 2 ปี กลับใช้เงินมากถึง 2 พันล้านไปแล้ว" นายประชัยกล่าว

เชื่อแผนใหม่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีพีไอ กล่าวว่า แผนของเขาครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ทั้งสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ ผู้ถือหุ้นเดิม รวมทั้งดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

"ผมมั่นใจว่า ภายในปีแรกเราจะทำกำไรได้อย่างต่ำ 5 หมื่นล้าน ขณะที่แผนการชำระหนี้เจ้าหนี้จะได้รับเงินคืนทันที ไม่ต้องพะวงการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพราะตัดออกไปได้ทันทีเช่นกัน แบงก์ที่เป็นเจ้าหนี้ก็จะแข็งแรงขึ้น ผลดีจะตกแก่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ ตรงกันข้ามกับแผนฟื้นฟูฯฉบับคลังที่เจ้าหนี้จะได้เงินคืนในเวลา 12 ปี ซึ่งถือว่าช้ามาก แบงก์ก็จะมีปัญหาหนี้ต่อไปอีกยาว" นายประชัยกล่าว

ตามแผนฟื้นฟูกิจการของคลัง จะดำเนินการลดทุนทีพีไอจาก 78,489 ล้านบาท ลงเหลือ 7,848 ล้านบาท แล้วออกหุ้นใหม่ 11,651 ล้านหุ้น และหุ้นเดิมที่เจ้าหนี้ถืออยู่ 5,898 ล้านหุ้นจัดสรรให้ ปตท. 30% กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.) 10% ธนาคารออมสิน 10% กองทุนวายุภักษ์ 10% จัดสรรให้กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมในอัตรา 1 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ในราคาเบื้อง ต้นหุ้นละ 3.30 บาท ที่เหลือเตรียมจัดสรรให้พวก เจ้าหนี้ที่ต้องการแปลงเป็นหุ้นรวมทั้งพนักงานทีพีไอ เพื่อระดมเงินใช้หนี้ 2.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่เบื้องต้นหากเซ็นสัญญากับ ปตท. และพันธมิตรในวันที่ 1 มิ.ย. นี้แล้ว กว่าที่ทีพีไอจะได้เงินจาก ปตท.อย่างเร็วคาดว่าภายในเดือน พ.ย.นี้หลังจากบริษัทพ้นจากสถานะฟื้นฟูกิจการ ขณะที่หนี้ส่วนที่เหลือจะจ่ายคืนให้เจ้าหนี้ได้ภายใน 12 ปีข้างหน้า ส่วนการทำกำไรของทีพีไอ คาดว่าในปีแรกจะทำได้ราว 1 หมื่นล้านบาท และปีต่อๆ ไปเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 5-6 พันล้านบาทเท่านั้น

นายประชัยกล่าวว่า แผนของตนที่ยื่นต่อศาลจะแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการชำระหนี้ของทีพีไอที่ดีกว่าคลัง ขณะเดียวกัน ผู้ถือหุ้นเดิมก็จะได้รับการดูแลที่ดี ซึ่งตามแผนไม่ต้องระดมทุนจากการออกหุ้นเพิ่มทุนมากเหมือนแนวทางของคลัง หุ้นที่อยู่ในมือของเจ้าหนี้ หรือผู้ถือหุ้นเดิมจึงไม่ต้องถูกลดค่าลง ตรงกันข้ามมูลค่าของหุ้นก็สูงขึ้นกว่าปัจจุบันเป็นอย่างมาก ทุกฝ่ายจะได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง

"ผมคำนวณดูแล้วเราจะใช้เงินซื้อหุ้นไม่มากไม่น่าจะเกิน 2.5 พันล้านบาท ขณะที่คลังดึงพันธมิตรมามากมายระดมเงินสูงถึง 3.8 หมื่นล้าน แต่ผู้ถือหุ้นเดิมถูกทำลายไปหมด เราจะใช้เงินซื้อส่วนที่เกินมาไม่เกิน 5% จากนั้นจะระดมเงินมาใช้หนี้เจ้าหนี้ทันที เราทำทุกอย่างเพื่อแสดงให้เห็นว่าลูกหนี้สามารถชำระหนี้ได้ เมื่อเอาเงินมาโชว์แล้วจึงถือว่านี่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ ตามกฎหมาย" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารทีพีไอกล่าว

แผนของนายประชัยดังกล่าวเปิดเผยออกมาเมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมาหลังจากที่เขาได้ยื่นคำร้องต่อศาลว่า ตระกูลเลี่ยวไพรัตน์ได้บรรลุข้อตกลงกับบริษัท ซิติก รีซอร์ส โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มซิติกกรุ๊ปที่รัฐบาล จีนถือหุ้นใหญ่ จะร่วมกันจัดตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่เพื่อเข้าถือหุ้นในทีพีไอในสัดส่วน 70% โดยซิติก รีซอร์สฯ จะนำเงิน 900 ล้านเหรียญสหรัฐมาชำระหนี้ทีพีไอ และจัดหาเงินกู้อีก 1,800 ล้านเหรียญสหรัฐมาชำระหนี้ที่เหลือ ภายในไม่เกินเดือนธันวาคม 2548

ทั้งนี้คาดว่าจะเสนอขายหุ้นละ 6-6.50 บาท และจัดสรรหุ้น 5% ให้ผู้ถือหุ้นเดิมที่ปัจจุบันถืออยู่เพียง 25% ทำให้ผู้ถือหุ้นเดิมถือหุ้น 30% เท่ากับที่คลังจัดสรร โดยทีพีไอไม่ต้องออกหุ้นเพิ่มทุนใหม่ ซึ่งนายประชัยมั่นใจว่า แผนดังกล่าวนี้จะทำให้ราคาหุ้น "TPI" ดีดขึ้นไปอยู่ที่ 30-40 บาท/หุ้นไม่ได้

นายประชัยกล่าวถึงทิศทางของทีพีไอ หากกลุ่มทุนจากจีนเข้ามาร่วมบริหารสำเร็จว่า จะทำให้ทีพีไอกลายเป็นผู้ส่งออกปิโตรเคมีราย ใหญ่ที่สุดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมกับมีแผนที่จะทำให้ทีพีไอก้าวไปสู่การ เป็น "ออยล์ฮับ" หรือศูนย์กลางน้ำมันของภูมิภาค โดยจะขยายกำลังการกลั่นน้ำมันอีก 150,000 บาร์เรลต่อวันจากปัจจุบันมี 2 ยูนิตผลิตได้รวมกัน 215,000 บาร์เรลต่อวัน   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us