การประชุม Visa International Government Services Conference ปีนี้ เป็นครั้งที่ 7 แล้ว แต่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก ที่ประเทศสิงคโปร์ โดยมีคริสโตเฟอร์ โรดริเกส ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร วีซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล มาร่วมงานด้วยตนเองเป็นสัญญาณว่าวีซ่าให้ความสำคัญกับบริการชำระเงินสำหรับหน่วยงานรัฐบาลในภูมิภาคนี้ไม่น้อย

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะปัจจุบันรัฐบาลถือเป็นหน่วยงานที่เป็นผู้จัดซื้อสินค้าและบริการรายใหญ่ที่สุดของแต่ละประเทศ โดยยอดการใช้จ่ายของภาครัฐในเอเชีย แปซิฟิก มีมูลค่ากว่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วน 15% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ โดยจากการศึกษาของบริษัทที่ปรึกษา Global Insight พบว่าค่าใช้จ่ายของภาครัฐใน 6 ประเทศหลักของเอเชีย แปซิฟิก คือ ออสเตรเลีย ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ และไต้หวัน มีศักยภาพในการใช้ชำระผ่านบัตรอิเล็กทรอนิกส์ได้ถึง 3 แสนล้านดอลลาร์ แต่สัดส่วนการชำระด้วยบัตรอิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบันยังมีน้อยมาก

สาระของการประชุมในปีนี้จะพยายามชี้ให้ผู้เข้าร่วมการประชุมที่มาจากธนาคาร สถาบันการเงิน และหน่วยงานภาครัฐของประเทศต่างๆ รวมกว่า 180 คน ได้เห็นถึงข้อดีของการนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในการใช้จ่ายของภาครัฐ โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานในประเทศต่างๆ ที่ได้นำเอาระบบดังกล่าวของ Visa ไปใช้มาร่วมให้ข้อมูล อาทิ กระทรวงกลาโหม ประเทศออสเตรเลีย และ General Services Administration สหรัฐอเมริกา

ข้อดีที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันก็คือ ช่วยลดค่าใช้จ่ายโดยจากการประเมินพบว่า การนำระบบชำระทางอิเล็กทรอนิกส์ มาใช้ในภาครัฐจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ราว 10% ทำให้การทำงานรวดเร็วขึ้นและยังโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ง่ายขึ้น

สำหรับในประเทศไทยขณะนี้บริษัทบัตรกรุงไทย หรือ KTC ได้เปิดตัวบัตรสำหรับหน่วยงานราชการออกมาเป็นรายแรกของไทยตั้งแต่เดือนเมษายน นอกจากนี้ยังมีธนาคารกรุงเทพและธนาคารกสิกรไทยที่เตรียมออกบัตรให้กับหน่วยงานของรัฐรวม 6 แห่ง อาทิ กรมเจรจาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งบัตรชนิดแรกที่จะนำมาใช้ได้แก่ บัตรด้านการเดินทางและท่องเที่ยว (Travel & Entertainment) โดยคาดว่าถึงสิ้นปีจะมีจำนวนประมาณ 4-500 บัตร และมียอดการชำระของภาครัฐผ่านระบบราว 100 ล้านบาทในปีนี้

บัตรประเภทต่อไปที่ Visa จะนำมาเปิดตลาดหน่วยงานภาครัฐของไทยคือ บัตรเพื่อการจัดซื้อ (Purchasing Card) สำหรับใช้ซื้ออุปกรณ์ออฟฟิศหรือสำนักงานที่มีมูลค่าไม่สูงมาก โดยคาดว่าจะเปิดตัวได้ภายใน 3 ปีนี้