ซีพี เมจิขยายกำลังผลิตนมพาสเจอไรซ์และโยเกิร์ต เตรียม รุกตลาดไทยและลุยต่างประเทศ ส่งเทคโนโลยีปรับแพกเกจใหม่ยืดอายุนมพาสเจอไรซ์ ส่วนตลาดโยเกิร์ตรุกหนักขึ้นหลังตลาดโตกว่า 15% วาดฝัน 3 ปีโค่นดัชมิลล์ และก้าวเป็นผู้นำตลาดโยเกิร์ตย่านอาเซียน หลังโชว์ศักยภาพขึ้นแท่นผู้นำในสิงคโปร์ คาดยอดขายรวมโต 30%
นางสาวสุดธิดา สังขมณี ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัทซีพี เมจิก จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้กลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทฯ จะเน้นเพิ่มความหลากหลายให้แก่ผลิตภัณฑ์หลักทั้งนมพาสเจอไรซ์และโยเกิร์ต ด้วยการการเปิดตัวสินค้ารสชาติใหม่และการเพิ่มขนาดผลิตภัณฑ์ โดยในส่วนของนมพาสเจอไรซ์ขณะนี้เมจิเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่ง 50% จากตลาดรวม 2,500 ล้านบาท ซึ่งเมื่อช่วงต้นปีบริษัทฯ ได้มีการพัฒนาแพกเกจจิ้งนมพาสเจอไรซ์ใหม่ด้วยเทคโนโลยี "เฟรชแพก" เพื่อช่วยยืดอายุการเก็บรักษานมได้นานขึ้นเป็นเดือน จากเดิมเก็บได้เพียง 2 อาทิตย์ ซึ่งบริษัทฯได้มีการลงทุนเพิ่มกว่า 600 ล้านบาท ในการเพิ่มเครื่องจักรที่ใช้บรรจุโยเกิร์ตและเครื่องบรรจุแพกเกจใหม่ ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมาตลาดรวมของนมพาสเจอไรซ์มีอัตราการโตประมาณ 7-8% จากการที่รัฐบาลส่งเสริมให้คนไทยดื่มนมและคนก็ใส่ใจสุขภาพตัวเองมากขึ้น
ประกอบกับปีนี้บริษัทฯให้ความสำคัญกับตลาดโยเกิร์ตมากขึ้น เนื่องจากตลาดโยเกิร์ตมีอัตราการเติบโตมากกว่า 15% จากกระแสคนห่วงใยสุขภาพจึงหันมานิยมทานโยเกิร์ตมากขึ้น ซึ่งทำให้โยเกิร์ตของเมจิได้รับความนิยมตามไปด้วย เพราะเป็นสินค้าเพื่อสุขภาพและมีให้เลือกหลากหลาย
ล่าสุดเมจิได้เปิดตัวโยเกิร์ตในไทย 4 รสชาติ อาทิ วุ้นมะพร้าว,ว่านหางจระเข้, มะม่วง และสับปะรด เพื่อรับมือการ แข่งขันและเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้บริโภค รวมถึงขยายฐานลูกค้า จากเดิมเป็นวัยรุ่นไปสู่กลุ่มนักเรียนและคนสูงอายุ ทั้งนี้เดิมทีในแต่ละปี บริษัทฯ จะออกโยเกิร์ตประมาณ 1 รสชาติเท่านั้น แต่ปีนี้คาดว่าจะมีโปรดักต์ออกสู่ตลาดหลายรส
ปัจจุบันบริษัทซีพีฯมีผลิตภัณฑ์แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม อาทิ 1.นมสดพาสเจอไรซ์ ซึ่งมี 11 รสชาติ ได้แก่ รสจืด, หวาน, พร่องมันเนย, ไฮโลว์, ใบเตย และเมจิโอรสช็อกโกแลต 2. นมสดยูเอชที มี 5 รสชาติ 3. นมเปรี้ยว มี 5 รสชาติ และ 4. โยเกิร์ต มีทั้งหมดกว่า 10 รสชาติ ราคาประมาณ 10 บาท
สำหรับงบทางการตลาดปีนี้บริษัทฯตั้งไว้ที่ 150 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ใช้งบตลาด 50 ล้านบาท โดยปีนี้จะเน้นไปที่การจัดกิจกรรมต่างๆให้กับผลิตภัณฑ์หลัก อาทิ การแจกโยเกิร์ตฟรีจำนวน 1 ล้านถ้วยตลอดทั้งปี เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าอย่างแท้จริง ขณะที่ช่องทางการขายโยเกิร์ตจะเน้นขายผ่านโมเดิร์นเทรดและขายผ่านเอเยนต์ที่มีกว่า 500 ราย
ปัจจุบันตลาดโยเกิร์ตในไทยมีมูลค่าสูงกว่า 1.5 พันล้านบาท และมีอัตราการโตสูงขึ้นจากปี 2547 อยู่ 25% โดยผู้นำตลาด คือ ดัชมิลล์ที่ครองส่วนแบ่งทางการตลาด 60% ส่วนอีก 40% เป็นของเมจิ,โฟรโมสต์และเนสท์เล่
โดยในส่วนของเมจิมีแชร์ประมาณ 20% ทั้งนี้คาดการณ์ว่าภายใน 3 ปีตลาดโยเกิร์ตจะโตขึ้นและมีมูลค่าตลาดกว่า 3-4 พันล้านบาท และเมจิจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดแทนที่ดัชมิลล์ จากจุดเด่นที่ตัวผลิตภัณฑ์เมจิเองที่เชื่อว่าผู้บริโภคได้ทานแล้วจะไม่สวิตชิ่งแบรนด์ไปทานแบรนด์อื่นและการที่เมจิมีให้เลือกหลายรสชาติ
ด้านตลาดต่างประเทศบริษัทฯได้ส่งโยเกิร์ตซีพีเมจิไปทำตลาดที่สิงคโปร์เมื่อประมาณปีกว่า โดยมี 6 รสชาติ อาทิ สตรอเบอรี, มิกซ์เบอรี, วุ้นมะพร้าว, ผลไม้รวม, ว่านหางจระเข้ และรสธรรมชาติ ซึ่งได้รับการตอบรับดีจากตลาดสิงคโปร์และสามารถครองตำแหน่ง ผู้นำตลาดได้ด้วยยอดขายกว่า 200 ล้านบาท และในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนี้บริษัทฯเตรียมเปิดตัวโยเกิร์ตผลไม้ไทย 3 รสชาติ ได้แก่ รสมะม่วง, ลำไย และสับปะรด เพื่อใช้รุกตลาดต่างประเทศ อาทิ ในย่านอาเซียนกลุ่มตะวันออกกลาง และแอฟริกาใต้ โดยทางซีพีได้ตั้งเป้ายอดขายโยเกิร์ตในตลาดต่างประเทศประมาณ 1 ล้านถ้วยต่อเดือน หรือประมาณ 500 ล้านบาท พร้อมทั้งได้ตั้งเป้า 3 ปีจะก้าวเป็นผู้นำตลาดในย่านอาเซียน เนื่องจากมองว่าตลาดนี้มีอัตราการเติบโตสูงและโยเกิร์ตของซีพีก็มีคุณภาพ
ผลประกอบการของบริษัทฯปีที่แล้วมียอดรวม 3,200 ล้านบาท และมีอัตราการโต 25% แบ่งเป็นยอดรายได้ในประเทศ 80% และต่างประเทศ 20% โดยในส่วนของโยเกิร์ตนั้น คิดเป็นสัดส่วน 10% ของยอดขายทั้งหมด สำหรับปีนี้บริษัทฯ คาดว่ายอดรายได้รวมจะโตขึ้น 30%
|