|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ ธันวาคม 2526
|
|
อาคารที่ทำการบริเวณชั้นล่างของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น ทุกๆ วันที่เดินเข้าไปก็จะพบกับความโอ่อ่ากว้างขวาง และเงียบสงบจนอยากจะหลับพักสักงีบ
และความโอ่อ่ากว้างขวางและเงียบสงบนี้ได้ถูกแปรเปลี่ยนเป็นคับแคบ และอึกทึกคึกโครมอย่างพลิกฝ่ามือในทันที เมื่อผู้ถือตั๋วสัญญาใช้เงินของพัฒนเงินทุนและบ้านที่ดินไทย กว่า 300 คน พร้อมใจกันนัดชุมนุมพลเมื่อยามเช้าจรดเที่ยง ของวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
“ผมว่ากว่า 30 เปอร์เซ็นต์เป็นผู้ถือตั๋วที่ไม่ได้ไปร่วมประชุมกับพวกเราที่โรงแรมนารายณ์ วันนี้เขาทราบข่าวก็เลยมาที่นี่ เพราะเขาก็อยากทราบเหมือนกันว่าจะเอากันอย่างไร มันก็เลยดูสับสนนิดหน่อย เพราะบางคนเขายังไม่ทราบว่าทางกลุ่มดำเนินการไปขั้นไหนแล้ว...” หนึ่งใน 28 คณะกรรมการกลุ่มผู้ถือตั๋วสัญญาใช้เงินที่ตั้งขึ้นเพื่อเคลื่อนไหว เรียกร้องให้แบงก์ชาติช่วยเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการเปลี่ยนตั๋ว ซึ่งกำหนดไถ่ถอนคืนหมดภายใน 10 ปี กล่าวกับ “ผู้จัดการ”
“ในวันนี้ ที่จริงเราก็ไม่มีเจตนาจะนัดชุมนุมอะไรเพียงแต่เราแต่งตั้งตัวแทน 7 คน ขอเข้าพบกับท่านผู้ว่านุกูล ประจวบเหมาะ เพื่อยื่นข้อเสนอที่ทางกลุ่มฯ อยากให้แบงก์ชาติช่วยผ่อนผันนี่ขึ้นไปตั้งแต่ 4 โมงเช้า เดี๋ยวก็คงลงมาแถลงได้ล่ะครับว่าแบงก์ชาติมีความเห็นอย่างไร” กรรมการคนเดิมเล่าต่อ
สำหรับข้อเสนอที่กลุ่มนำติดมือขึ้นไปเจรจากับแบงก์ชาตินั้น ประกอบด้วย 3 ข้อใหญ่ คือ
หนึ่ง-พวกที่ถือตั๋วไม่เกิน 500,000 บาท ขอให้ถอนคืนได้ 50% ในระยะเวลา 3 เดือน และอีก 50% ที่เหลือภายใน 1 ปี
สอง-พวกที่ถือตั๋วตั้งแต่ 500-001-1,000,000 บาท ถอนคืนได้ 30% ภายใน 3 เดือน อีก 3
0% ภายใน 1 ปี และอีก 40% ภายใน 2 ปี
สาม- พวกที่ถือตั๋วราคาตั้งแต่ 1,000,0001 –ขึ้นไป ถอนได้ 20% ภายใน 1 ปี 30% ภายใน 2 ปี และ 30% ที่เหลือ ภายใน ระยะเวลา 3 ปี
“หมายถึงการจ่ายคืนตามราคาหน้าตั๋วนะครับ ไม่ใช่ตามรายชื่อผู้ถือตั๋ว เพราะบางคนเขาถือหลายใบ ถ้ารวมแล้วก็ตายนะสิ...” กรรมการอีกคนหนึ่งช่วยติง
“ผมอยากสรุปว่าจริงๆ แล้วทางกลุ่มเขามีข้อเสนอข้อเดียว คือ 10 ปีมันนานไป เขารับไม่ได้ เขาขอร่นเข้ามาเป็น 3 ปี นั่นเอง” ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักผู้ว่าการแบงก์ชาติ ซึ่งวันนั้นต้องทำหน้าที่รับแขกแทนท่านผู้ว่าฯ นุกูล ประจวบเหมาะ สรุปให้ฟัง หลังจากกลุ่มที่ชุมนุมแยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมันไปแล้ว
และเมื่อถูกถามว่า ในวันที่ 30 พฤศจิกายน ซึ่งสัญญาว่าจะนำข้อเรียกร้องเหล่านี้ไปปรึกษา ผู้ใหญ่ และจะแจ้งผลให้ทราบในวันนั้น..นั้น แบงก์ชาติจะหาทางออกอย่างไร ดร. ศุภชัยอ้ำอึ้งนิดหน่อย ก่อนจะกล่าวว่า “คงเป็นไปได้ยาก เพราะตามเงื่อนไขที่กลุ่มฯ เสนอนั้น เท่ากับจะต้องใช้เงินเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ..” อย่างไรก็ตาม แบงก์ชาติเอง ก็จะพยายามค้นหาทางออกด้วย ซึ่งตอนนี้ยังไม่ทราบว่าจะเป็นอย่างไรเช่นกัน
“ผมไม่เข้าใจเหมือนกันนะ ทำไมคนถึงชอบแห่มาถึงแบงก์ชาติ เราเป็นคนอนุญาตให้มีการตั้งบริษัทการเงินจริง แต่นั่นมิใช่พอบริษัทนั้นล้ม เราจะต้องรับผิดชอบ ทำไมไม่เรียกร้องเอากับฝ่ายอื่นๆ” แล้วก็มีเสียงบ่นออกมาจากปากของผู้ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงแบงก์ชาติ
“ครับ ดร.ศุภชัย ระหว่างที่คุยกับท่านก็แนะนำทำไมไม่จัดการกับบริษัทที่ก่อปัญหาจะได้ตัวอย่างอันนี้ ที่จริงทางกลุ่มฯ ก็เคยคุยกันว่าจะฟ้องทั้งทางอาญา และจะฟ้องล้มละลายด้วย คงมีคนทำแน่ครับ เพราะ ดร.ศุภชัยท่านชี้แจงว่า การฟ้องร้องของใครคนใดคนหนึ่งจะไม่มีผลถึงการเปลี่ยนตั๋วของคนอื่นๆ บุญสิทธิ์ วิบูลลาภ ประธานกลุ่มฯ เปิดเผย
ดูเหมือนการเคลื่อนไหวตั้งแต่ต้นจนในระยะใกล้ๆ นี้ของกลุ่มผู้ถือตั๋วสัญญา
ใช้เงิน 3 บริษัทเครือตึกดำ แม้กระทั่งแกนหลายสิบคนที่ดำเนินการอยู่ ก็เชื่อว่าหนทางสำเร็จนั้น มันเหมือนฝัน แต่คงจะต้องดิ้นรนกันต่อไป เพราะเลวร้ายที่สุดก็คือยอมรับสภาพการไถ่ถอนเงินคืนภายในระยะเวลา 10 ปีโดยไม่มีดอกเบี้ย ถ้าข้อเรียกร้องเหล่านี้เป็นเหมือนฝัน ทุกคนก็คงไม่อยากให้มันเป็นฝันสลายเท่านั้น
“ผมอยากฝากให้ช่วยทำความเข้าใจกับประชาชนว่า เงินที่จะได้จากกาไถ่ถอนคืนใน 10 ปี จากสหธนกิจไทยนั้น ไม่ใช่เงินของผู้ถือตั๋วละลายกลายเป็นน้ำจนติดลบไปแล้ว เพราะฉะนั้นมาตรการที่แบงก์ชาติประกาศไปนั้น เป็นเรื่องให้ความช่วยเหลือ เนื่องจากเห็นใจในความทุกข์ร้อน” ทดร.ศุภชัยเองก็พยายามแสดงจุดยืนที่แท้จริง ซึ่งว่าไปแล้วการคาดหวังที่จะให้ทุกอย่างลงตัวอย่างราบรื่นเป็นที่พออกพอใจบรรดาเจ้าของตั๋วสัญญาใช้เงินก็เป็นความฝัน ของแบงก์ชาติเหมือนกัน
และแบงก์ชาติก็คงอยากจะฝันไปเรื่อยๆ เพราะหากตื่นจากฝันเมื่อไรก็คงจะตายทันทีเมื่อนั้น
|
|
|
|
|