Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ธันวาคม 2526








 
นิตยสารผู้จัดการ ธันวาคม 2526
วันนั้นที่ชั้น 4 ของตึกดำ             
 

   
related stories

สัจจะลูกผู้ชาย อีกครั้งหนึ่งของบุญชู

   
search resources

สุธี นพคุณ
Financing
สหธนกิจ




10 พฤศจิกายน วันแรกที่ผู้ถือตั๋วสัญญาใช้เงินพัฒนาเงินทุนหลั่งไหลสู่ตึกดำ ตลอดช่วงเช้าตั้งแต่เก้าโมงเช้าเป็นต้นมา เพื่อขอเปลี่ยนตั๋วเป็นของสหธนกิจไทย ที่มี 14 ธนาคารร่วมถือทุนอยู่ตามประกาศของแบงก์ชาติ แต่แล้วผู้ถือตั๋วบางส่วนก็ต้องชะงัก หยุดความตั้งใจที่จะดำเนินเรื่องขอเปลี่ยนตั๋ว เนื่องจากข้อความบางตอนในใบแสดงเจตนาขั้นต้นของสหธนกิจไทยที่ว่า ผู้ถือตั๋วยินยอมที่จะให้สหธนกิจไทยทรงสิทธิ์อย่างเต็มที่ที่จะเป็นผู้ตัดสินใจจ่าย หรือไม่จ่ายให้กับตั๋วสัญญาที่มายื่นนั้นได้

“ถ้าเซ็นก็หมายถึงเรายอมรับตามนั้น และถ้าเขาไม่ยอมจ่ายให้เราแล้วจะทำอย่างไร ก็แย่นะซิ” ผู้ร่วมชะตากรรมถือตั๋วหลายรายไม่กระจ่างในข้อความดังกล่าว ไม่ยอมดำเนินการและพากันยืนจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์อยู่ตรงนั้นเอง

จากจุดร่วมเดียวกัน คือความเป็นห่วงกังวลถึงเงินฝาก รวมเป็นกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ปรึกษาหารือนานนับชั่วโมง เสียงหนึ่งในกลุ่มผู้ถือตั๋วชวนกันยกโขยงเดินหาสุธี นพคุณ เพื่อคลายข้อสงสัยแล้วซักถาม และอะไรต่อมิอะไรที่มันอัดอั้นอยู่ในใจของผู้ถือตั๋วทั้งหลายแหล่ แล้วผู้ถือตั๋วกว่า 50 รายก็ได้พบสุธี นพคุณนั่งรออยู่ในห้องชั้น 4 ของอนงค์ สุนทรเกียรติ เกิดการซักถามจนกลายมาเป็นวันนั้นที่ชั้น 4 ของตึกดำ ดังรายงานคำต่อคำของผู้จัดการ

“ผู้จัดการ”

“สุธี” - เชิญครับเชิญ

“ผู้ถือตั๋ว” - คุณสุธี-เรามากันนี่ก็อยากจะให้คุณสุธีช่วยอะไรเราหน่อย เพระเราก็ไม่รู้ว่า ควรจะทำอย่างไรดี

“สุธี” - เชิญครับ ผมสามารถช่วยอะไรได้ก็จะช่วยเต็มที่

“ผู้ถือตั๋ว” - คืออย่างนี้ คุณสุธีว่าพวกเราควรจะทำอย่างไรกันดี หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้นมา เห็นว่า คุณสุธีเคยอ่านอะไรมามาก ช่วยแนะนำพวกเราหน่อย ว่าควรจะทำอย่างไรดี ควรจะเดินขบวนไปแบงก์ชาติ หรือควรจะยอมตามเขา หรือควรจะทำยังไงกันดี ถือว่าช่วยคนที่ลำบากหมดเนื้อหมดตัวอย่างพวกเราก็แล้วกัน

“สุธี” - ผมไม่ทราบว่าจะแนะนำ ยังไงได้ เพราะการที่เขาเข้ามาช่วยนี่ ก็เพื่อช่วยให้พวกคุณได้รับผลประโยชน์ของพวกคุณกลับคืนไป ที่ผมช่วยได้ก็คือ ช่วยอย่าไปขวางทางเขา ช่วยที่จะไม่ทำอะไรที่จะสร้างความลำบากให้กับการดำเนินงานของพวกเขา ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อผลประโยชน์ของพวกคุณเองทั้งหมด

ผู้ถือตั๋ว- ก็คุณแค่แนะนำพวกเราว่าควรจะทำอย่างไร พวกเราก็มีวิธีการของเราอยู่แล้วบ้างล่ะ แต่เราอยากจะฟังความเห็นของคุณสุธีเองบ้างว่า เราควรจะทำยังไงดี

สุธี- ผมได้บอกไปแล้วว่าผมให้คำแนะนำอะไรไม่ได้ ผมไม่อยู่ในฐานะจะแนะนำได้ ในฐานะอย่างผม เวลานี้ ที่จะช่วย แนะได้ก็คือ เขาได้เข้ามาช่วยรักษาผลประโยชน์ของพวกคุณ เขามีวิธีการ ขั้นตอนของเขา คุณก็ทำไปตามนั้น ที่ผมจะทำได้จะช่วยได้ ก็คือไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไร เขาต้องการข้อมูลอะไรผมก็ให้เขา เขาจะเอาอะไร จะตรวจสอบอะไร ผมก็อำนวยความสะดวกเอามาให้เขาดู ให้เขาตรวจสอบ

ผู้ถือตั๋ว- คือคุณช่วยคือคุณอยู่เฉยๆ นั่งเฉยๆ อย่างนั้นใช่ไหมที่คุณพูด

สุธี- คือ ก็ไม่ใช่อยู่เฉยๆ ผมก็อำนวยความสะดวกแก่เขาทุกอย่าง เพื่อให้เขาดำเนินการได้รวดเร็วขึ้น อย่างที่บอกแล้วเขาต้องการอะไรผมก็ให้เขา เขาไม่ต้องไปหาเอง ไม่ต้องไปค้นเอง ไม่ต้องเสียเวลา อย่างที่จะเสียเวลาเป็นสองปีก็อาจจะแค่ปีเดียวอะไรอย่างนี้ นี่นี่ ป็นการสมมุตินะครับ จะใช้เวลาเท่าไหร่ผมไม่ทราบ

ผู้ถือตั๋ว- คุณพูดอย่างนี้ก็เหมือนเอาตัวรอดนี่ ทิ้งพวกผมไว้อย่างนี้

สุธี- ผม ผมไม่ได้เอาตัวรอดครับ ผมก็ยังอยู่ที่นี่ทุกวัน ถ้าผมเอาตัวรอด ผมก็ไม่มานั่งทำงานอย่างนี้ทุกวันแล้วครับ แต่นี่ผม ก็ยังมานั่งทำงานทุกวัน เดี๋ยวๆ ครับ(พยายามชี้แจงท่ามกลางเสียงต่อว่าต่อขานของผู้ถือตั๋ว) เดี๋ยวฟังผมก่อนซิครับ ผม ผม หมอบอกว่า ผมเป็นโรคไวรัสลงตับห้ามทำงาน ต้องพักผ่อนมาตั้งแต่มกราคมแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้พักผ่อนเลยครับ ผมก็ยังมาทำงานมานั่งที่นี่ทุกวัน ผมไม่ได้หนีไปไหน ผมยังอยู่ที่นี่ (ทำท่ายืดอก) รับความผิดอยู่ที่นี่ ผมไม่ได้หลบหน้าพวกคุณ หรือใครไปไหนเลย ครับ ผมทำงานผิดพลาด ผมก็ยอมรับว่า ผมทำงานผิดพลาด แล้วอย่างนี้ จะว่าผมหนีพวกคุณไปคนเดียวได้อย่างไง

ผมน่ะ ไม่ได้เป็นคนอยากจะปิดบริษัทนะครับ คนอื่นเขาสั่งให้ผมปิดไม่ใช่ว่า ผมต้องการจะปิด แต่อย่าให้ผมเปิดเผยเลยนะครับว่าเป็นใครผมบอกไม่ได้

ผู้ถือตั๋ว- หมายความว่าคุณยังสามารถดำเนินการบริษัทนี้ต่อไปได้ใช่ไหม หมายความว่า บริษัทคุณยังไปรอดแต่เขามาปิดคุณ คุณว่าอย่างนั้นใช่ไหม

สุธี- คือ คือ ผมหมายถึงผมไม่ได้เป็นคนต้องการจะปิดบริษัท คือไม่ใช่ครับ ผมไม่ได้เป็นผู้สั่งปิดบริษัทเองนะครับ แต่เป็นผู้อื่น เขามาบอกให้ผมปิด

ผู้ถือตั๋ว- ใคร คุณสุธี จะบอกไม่ได้เชียวหรือ จนถึงขนาดนี้แล้ว

คุณสุธี- อย่าให้ผมบอกเลยครับ ข่าวก็ออกมาอย่างที่รู้กันอยู่แล้ว

ผู้ถือตั๋ว- คุณสุธีครับ เนี่ยเขารู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองว่า ตึกดำนี่ไม่ใช่ของคุณสุธีคนเดียว ยังมีผู้ใหญ่อยู่เบื้องหลังคุณสุธี ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งนั้นแหละครับ แล้วเขาไม่ช่วยคุณบ้างหรือ

ผู้ถือตั๋ว- คุณสุธีฮะ ที่เรามากันนี่ ก็อยากจะให้คุณสุธีช่วยเพราะคุณสุธีก็ฉลาดมากว่าเรานัก ช่วยพูดแนะนำว่าเราควรทำอย่างไร หรือไม่ได้ ก็ช่วยพูดกับทางสหธนกิจเขาหน่อยได้ไหมว่า อย่าจ่ายสิบปีเลย ช่วยจ่ายเร็วกว่านั้นหน่อยเถอะ

สุธี- ผม ผมก็ไม่ได้ฉลาด... โธ่ คุณรู้ไหม เวลานี้ ผมพูดอะไร แม้แต่หมาสักตัวหนึ่ง มันยังไม่เชื่อผมเลย

ผู้ถือตั๋วรายหนึ่ง- แต่ตอนนี้ผมเชื่อที่คุณพูด ใช่แม้แต่หมามันยังไม่เชื่อคุณเลย

ส่วนอีกมุมหนึ่งของวันนี้ที่มุมประตูตรงพื้น อีกฟากของชั้น 4 ห่างกันเพียงช่วงกั้นทางขึ้น-ลงบันได ปรากฏร่างหญิงชราชาวจีนวัยเกือบกลางคน ผู้ซึ่งลักษณะของคนทำมาค้าขายเล็บมือเล็บเท้ามองเห็นชัดถึงการผ่านการใช้แรงงาน สวมเสื้อยืดแขนกุด การเกงสามส่วน รองเท้าแตะ นั่งแหมะบนพื้นปูพรมนุ่มตรงนั้น ผมยุ่ง หน้าซีดขาว เปื้อนด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างเงียบเชียบ ไม่ปรากฏเสียงสะอื้น ตาเหม่อลอยดูว่างเปล่าราวสติไม่ได้อยู่กับตัว ดูไปแล้ว แทบจะไม่น่าเชื่อว่าจะมีภาพเช่นนี้เกิดขึ้น

“ เจ๊ อย่าไปคิดอะไรมาก เลย เงินทองเป็นของนอกกาย” คุณป้าบนเก้าอี้ เอื้อมมือมาตบไหล่ เรียกสติ พร้อมกับปลอบใจ

เจ๊ในที่นี้ ก็คือหญิงชาวจีน ที่ “ผู้จัดการ” กล่าวถึงคนเมื่อกี้

เงินจำนวนแปดแสนบาทของเจ๊เทียบกับยอดหนี้ของพัฒนาเงินทุนอาจดูเล็กน้อย แต่เจ๊ผู้นี้ไม่เคยคิดไกลขนาดนั้น แกคิดเพียงแต่ว่าเงินที่เก็บหอมรอมริบมาตลอดชีวิตการเช่าร้านขายก๋วยเตี๋ยวที่เตรียมจะเบิกมาซื้อตึกแถวขายก๋วยเตี๋ยวเป็นของตัวเอง มันหายวับไปกับตา ไปอยู่ที่ตรงไหนแกไม่รู้ แล้วทำไม ถึงเป็นอย่างนั้นแกก็ไม่รู้ แล้วใครจะตอบคำถาม เหล่านี้ให้แกได้แกก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us