กำหนดการของวันที่ 27 กันยายน 2527 หรือวันที่สี่ของการฝึกอบรมพิเศษ “เพื่อสื่อมวลชน” ธนาคารกรุงเทพ บอกไว้คร่าวๆ เพียงว่า

12.00-14.00 น. : รับประทานอาหารกลางวัน-ฝ่ายบริหารของธนาคารเป็นเจ้าภาพ

14.00-15.30 น. : การบรรยายหัวข้อ “รัฐวิสาหกิจ” โดย บัณฑิต บุณยะปานะ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง

15.45-17.00 น. : การบรรยายหัวข้อ “ประชากรและปัญหาว่างงาน” โดย มีชัย วีระไวทยะ เลขาธิการสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน

สถานที่ : ห้องโถงชั้น 29 อาคารสำนักใหญ่ สีลม

เจ้าหน้าที่ประสานการฝึกอบรมแจ้งล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 24 กันยายนแล้วว่า ขอให้นักข่าวที่เข้าร่วมโครงการนี้ทุกคนช่วยกันแสดงอะไรก็ได้ในช่วงระหว่างรับประทานอาหารกลางวัน เพราะไม่เช่นนั้นเวลา 2 ชั่วโมง ก็คงจะกร่อยมาก นอกจากนี้ก็ยังเป็นโอกาสที่ผู้บริหารระดับสูงของธนาคารจะได้รับทราบถึงสภาวะทางความคิดและจิตใจของบรรดานักข่าวทั้งหลายด้วย

นักข่าวประชุมตกลงกันว่า จะเสนอรายการย่อยอาหารเป็น 5 รายการ จาก 5 กลุ่ม ซึ่งกลุ่มหนึ่งๆ จะมีสมาชิกกว่า 10 คน

สำหรับนักข่าวหลายคนก็ดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ บางกลุ่มคิดว่าจะออกมาเล่าประสบการณ์ในชีวิตการทำข่าว บางกลุ่มจะแสดงละครล้อเลียนเหตุการณ์สำคัญในวงการธุรกิจ และบางกลุ่มก็คิดว่าจะออกไปพูดแนะนำตัวนิดๆ หน่อยๆ ก็คงพอ

ครั้นแล้วอาหารมื้อกลางวันก็เริ่มขึ้นโดยกลุ่มนักข่าวทยอยขึ้นไปบนชั้น 29 ตั้งแต่ 11.00 น. เพื่อถือโอกาสซักซ้อมการแสดงหน้าเวทีเป็นครั้งสุดท้าย

แต่เอาเข้าจริงทุกคนก็เกือบไม่ได้ซ้อม เพราะความสนใจต้องสะดุดลงเนื่องจากใบปลิวเถื่อนจำนวน 3 หน้ากระดาษพิมพ์

ใบปลิวชุดนั้นนักข่าวได้รับเกือบทุกคนและก็รวมถึงคนของธนาคารกรุงเทพด้วย เนื้อหาก็กล่าวโจมตีธนาคารกรุงเทพโดยพุ่งไปที่ตัวกรรมการผู้จัดการใหญ่ที่ชื่อ ชาตรี โสภณพนิช โดยเฉพาะ (เรื่องใบปลิวโปรดอ่านในฉบับ)

12.00 น. ทุกคนเข้าห้องอาหาร

12.05 น. กลุ่มผู้บริหารของธนาคารกรุงเทพ ค่อยๆ ทยอยกันเข้ามา นำหน้าด้วย ชาตรี โสภณพนิช ดำรง กฤษณามระ วิระ รมยะรูป แล้วก็บุคคลระดับผู้จัดการฝ่ายอีกหลายท่าน

อาหารกลางวันมื้อนั้นจัดกันแบบบุฟเฟ่ต์ มีแกงเผ็ดปลาหมึกยัดไส้ ขนมจีน ผัดผักกับเครื่องในหมู กุนเชียงหมู เป็ดตุ๋น ส่วนของหวานเป็นผลไม้ 2 – 3 อย่าง

ดูเหมือนทุกคนจะยอมรับในรสชาติอาหาร ส่วนการแสดงก็เรียกเสียงฮาและกระชับความสนิทสนมได้พอสมควร

13.30 น. ทุกคนอิ่มนานแล้ว การแสดงเพิ่งจะผ่านไป 2 กลุ่ม ยังเหลือเวลาอีก 30นาที สำหรับอีก 3 กลุ่ม แต่สิ่งนอกเหนือรายการก็ถูกสอดเข้ามาเมื่อโฆษกประจำงานบอกว่า ขอให้การแสดงของ 3 กลุ่มที่เหลือยกยอดไปแสดงกันในวันปิดการอบรม ส่วนเวลาที่เหลือประมาณครึ่งชั่วโมงนี้ ท่านกรรมการผู้จัดการใหญ่ – ชาตรี โสภณพนิช จะมีอะไรเล็กๆ น้อยๆ มากล่าวกับบรรดานักข่าวผู้เข้ารับการอบรม

สีหน้าและแววตาของ ชาตรีในวันนั้นหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด และสิ่งที่เขากล่าวก็คงเป็นความในใจที่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เป็นแน่

“ผมอยากจะเล่าถึงความเป็นมาของธนาคารกรุงเทพ ซึ่งขณะนี้กำลังจะมีอายุครบ 40 ปีให้ฟัง” ชาตรีเริ่มต้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบๆ โดยหลายคนที่มีโอกาสฟังชาตรีพูดก่อนหน้านี้หลายครั้งต่างซุบซิบกันว่า “บิ๊กบอส” ของแบงก์กรุงเทพเริ่มจะพูดไทยแบบลดสำเนียงแมนดารินมากขึ้น

“แต่ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องแบงก์กรุงเทพ ผมขอพูดถึงเรื่องของตัวผมเองก่อน โดยเฉพาะที่มีคนสงสัยว่าผมนายชาตรีนี่เกิดที่ไหน เกิดเมืองจีนหรือว่าเกิดที่ฮ่องกง...” ชาตรีหักมุมเรื่องซึ่งทำให้หลายคนเริ่มแน่ใจว่า ฤทธิ์เดชของใบปลิวเถื่อนหนา 3 หน้ากระดาษนั้น ผู้ที่ตกเป็นเป้าโจมตีคงได้สัมผัสไม่ตรงก็อ้อมเข้าแล้ว (ใบปลิวกล่าวโจมตีว่าชาตรีเป็นลูกจีนเกิดที่ซัวเถา และหนีเข้ามาอยู่เมืองไทยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2)

“ผมขอเรียนกับเพื่อนๆ นักข่าวทั้งหลายว่า ผมเกิดในเมืองไทย ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ มีหลักฐานยืนยัน ไม่เชื่อก็ไปค้นดูได้...แต่แน่นอน ไม่ได้ชื่อชาตรี...”

ชาตรีเล่าว่า เมื่อยังเล็กบิดาคือ ชิน โสภณพนิช ได้ส่งตัวเขาไปเรียนที่ฮ่องกง เมื่อเรียนจบก็เกิดสงครามพอดี จึงต้องอยู่ทำงานที่ฮ่องกง ไม่สามารถกลับเมืองไทยได้

จนหลังจากไปเรียนและทำงานที่อังกฤษอยู่พักหนึ่ง เขาจึงมีโอกาสกลับเมืองไทยและได้เริ่มงานร่วมกับ จอหน์นี่ มา หรือ วัลลภ ธารวณิชกุล ที่เอเชียทรัสต์

จากเอเชียทรัสต์ ก็เข้าร่วมงานกับธนาคารกรุงเทพในตำแหน่งสมุห์บัญชี และไต่เต้าขึ้นมาเรื่อยๆ จน 20 กว่าปีให้หลังก็ก้าวขึ้นมาเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ และอยู่ในตำแหน่งนี้มาแล้ว 4 ปีเศษ

เกือบครึ่งชั่วโมงที่ชาตรีเล่าถึงประวัติตัวเขาพร้อมกับประวัติ 40 ปีของแบงก์กรุงเทพ ทุกคนในห้องเงียบกริบตั้งอกตั้งใจฟัง จะมีเสียงสอดแทรกก็เพียงชัตเตอร์จากกล้องถ่ายรูปและเสียงถอนหายใจของคนแบงก์กรุงเทพบางคนเท่านั้น

แล้วทุกอย่างก็จบลงด้วยเสียงปรบมือที่ดังและยาวนานเป็นพิเศษ แต่จะดังไปถึงกองบัญชาการลับที่วางแผนทำลายแบงก์กรุงเทพกับตัวชาตรีหรือไม่นั้น ก็คงเป็นข้อสงสัยกันต่อไป