|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ พฤศจิกายน 2527
|
|
ทัศนะแบบวิทยาศาสตร์อีกทัศนะหนึ่ง ซึ่งมองไกลเลยคำพยากรณ์อันโหดเหี้ยมของ ยอร์จ ออร์เวลล์ (GEORGE ORWELL) สำหรับปี 1982 ออกไปจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 21
ปีนี้เราอยู่ในปี 1984 (พ.ศ. 2527) เป็นปีแห่งลางร้ายมาตั้งแต่ปี 1948 เมื่อ ยอร์จ ออร์เวลล์ ได้วาดภาพโลกที่ตกอยู่ในกรงเล็บแห่งทรราชย์อุบาทว์อย่างมิอาจดิ้นให้หลุดได้ ไว้ในหนังสือชื่อเดียวกันนั้น
โชคดีแท้ที่โลกตามคำพยากรณ์ของออร์เวลล์มิได้เกิดขึ้นในโลกตามที่เป็นจริงในปี 1984 นี้
จริงอยู่ ได้มีระบบทรราชย์เกิดขึ้นในโลกนี้ในหลายชาติด้วยกันทั้งชาติใหญ่และชาติเล็ก และไม่มีชาติใดดำรงอยู่โดยปราศจากความอยุติธรรมจากระบบนี้
อย่างไรก็ดี ก็ยังมีอิสรเสรีภาพอยู่บ้างเหมือนกัน และแม้แต่ทรราชย์ที่ชั่วช้าสามานย์ที่สุดในปี 1984 ที่เป็นจริง ก็พบว่ายังจำต้องใฝ่หาอิสรเสรีภาพ เยี่ยงที่มนุษย์เขากระทำกัน
เพราะฉะนั้น ด้วยจิตใจอันหนักแน่นตามสมควร เราจงมามองให้เลยโลกปัจจุบันนี้ไปสู่โลกที่น่าจะเป็นไปได้ในปี ค.ศ. 2084 (พ.ศ. 2627) บ้าง
ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะปฏิเสธว่า ด้วยจิตใจที่มีอุเบกขา เราจะไม่อาจสรุปอะไรได้ อาจจะเป็นไปได้ว่าในปี 2084 นั้น เราจะหาโลกที่มีค่าควรแก่การพรรณนาถึงไม่ได้เสียแล้ว เพราะมนุษย์มีอานุภาพมาก จนได้ทำลายโลกไปเรียบร้อยแล้ว
แต่สมมุติว่า เราสามารถหลีกเลี่ยงภัยพิบัติเช่นนั้นได้ โลกที่เราอาศัยอยู่นี้จะมีสภาพเป็นอย่างไรในอีกศตวรรษในอนาคต
ปัจจัยทางเทคโนโลยีที่ครอบงำสังคมมนุษย์อยู่ในทุกวันนี้ ได้แก่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่กำลังก้าวรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ด้วยการที่เครื่องคอมพิวเตอร์นานาชนิดได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น และขยายตัวต่อไปในอัตราที่รวดเร็วมาก จึงดูเหมือนจะเป็นไปได้ว่า ในปี ค.ศ. 2084 มันจะทำงานได้ทุกอย่างกันอยู่อย่างจำเจซ้ำๆ ซากๆ เพราะฉะนั้น โลกในปี 2084 จึงดูเหมือนว่า “มันจะวิ่งไปได้เอง”
เรื่องเช่นนี้ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประวัติศาสตร์ บุคคลในปี 1784 เมื่อมองเครื่องจักรกลของในปี 1984 ด้วยการสังเกตดูทุกอิริยาบถที่มันทำงาน ดันและดึงแล้วขุดและยก ด้วยการโยกคันบังคับ หรือกดปุ่ม, ด้วยการดูว่าเครื่องจักรจะเคลื่อนที่เร็วกว่าม้าได้เพียงใด? สามารถผลิตตัวหนังสือได้ชัดเจนดีกว่าการเขียนด้วยมือเพียงใด? มันสามารถทำความเย็นและความอบอุ่นให้แก่บ้านเรือนได้ดีแค่ไหน? ตลอดจนช่วยในการแช่เย็นอาหาร และในการปรุงหรือหุงหาอาหารและทำสิ่งต่างๆ อีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ออกจะทำยากอยู่นั้น ก็คงจะคิดว่า พวกเราในปี 1984 อยู่ในโลกที่สามารถวิ่งได้ในตัวเอง เช่น การเปลี่ยนการทำงานด้วยกล้ามเนื้อ ไปเป็นการทำงานด้วยเครื่องจักรนั้น ในบัดนี้ก็จะเปลี่ยนแปลงต่อไปจากการทำงานด้วยสมอง ไปเป็นการทำงานด้วยเครื่องจักรที่มีความฉลาด (คือเครื่องคอมพิวเตอร์)
แล้วจะมีอะไรเหลือเอาไว้ให้มนุษย์ทำบ้างล่ะ ก็มีทุกอย่าง เฉพาะทุกอย่างที่เป็นเรื่องของมนุษย์นั่นคือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับการนึกคิด ความรู้จักตามสัญชาตญาณ การช่างคิด การสร้างมโนภาพ ความคิดประดิษฐ์ เป็นต้น
ในเมืองแรกทีเดียว มนุษย์ย่อมมีภาระหน้าที่ในการออกแบบ การสร้าง และการบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์และการทำโปรแกรมป้อนมัน
นอกจากนั้น มนุษย์ยังมีภาระหน้าที่ในการดูแลด้านต่างๆ ของสังคมมนุษย์ เช่น การเมือง เศรษฐกิจ กฎหมาย สาธารณสุข และการแพทย์ แล้วยังมีการศึกษาค้นคว้าด้านวิทยาศาสตร์ มีศิลปะดนตรี และวรรณคดี
ว่าที่จริงแล้ว ในทุกวันนี้ยังมีงานสร้างสรรค์อีกหลายสิ่งหลายอย่าง ที่เรายังไม่รู้จักชื่อ หรือยังคิดไม่ถึง เท่าที่เป็นมาแล้วทั้งหมดในทางประวัติศาสตร์ ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้ช่วยสร้างงานให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้นมากกว่าที่มันจะทำลายไป แต่มันจะต้องผ่านอาณาจักรแห่งความคิดล่วงหน้าถึงความเป็นไปได้ของงานที่น่าจะเกิดขึ้นนั้น เนื่องจากมันขึ้นอยู่กับความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่จะเป็นผู้สร้างสรรค์มันขึ้นมา
อาจมีผู้ถามขึ้นมาว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ สำหรับประชากรมนุษย์อันกว้างใหญ่ไพศาลที่จะได้เข้ามาเกี่ยวข้องในงานสร้างสรรค์นั้น และงานสร้างสรรค์เป็นงานสำหรับพวกคนชั้นสูงของสังคม เพียงกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น แล้วพวกคนธรรมดาสามัญนับด้วยจำนวนพันๆ ล้านคนเล่า จะปล่อยให้เขาอยู่ล้าหลังในฐานะเป็นผู้ไร้คุณสมบัติอย่างช่วยอะไรไม่ได้ จนไม่สามารถเข้าร่วมงานในสังคมได้บ้างเทียวหรือ?
สถานการณ์อาจเป็นเช่นนั้นในระยะสั้น เพราะมีมนุษย์ในโลกนี้เป็นอันมากที่เติบโตขึ้นมาโดยไม่ได้รับการศึกษามากนัก แล้วถูกบังคับให้อุทิศชีวิตแก่การทำงานชนิดที่ต้องแข่งขันกันอย่างไร้ความหมาย แถมยังถูกดูหมิ่นเหยียดหยามและถูกทำลายจิตใจกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
อย่างไรก็ดี ศักยภาพของมนุษย์ที่ได้รับการศึกษาอย่างเหมาะสม และได้รับการตอบสนองด้วยแรงกระตุ้นทางความคิดอย่างเหมาะสมมาตลอดชีวิตนั้น ก็ไม่ควรจะวินิจฉัยเอาจากความเข้มงวดกวดขันในอดีต
เรื่องแบบนี้เคยเกิดมาแล้วในอดีตเหมือนกัน ตัวอย่างเช่น ในยุโรปสมัยกลาง มียุคสมัยที่การอ่านออกเขียนได้ถูกจำกัดอยู่ก็แต่ในวงของคนชั้นสูงส่วนน้อยเท่านั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในสมัยนั้นสถานที่สำหรับการศึกษาเล่าเรียนมีน้อยมาก ด้วยสายตาที่ดูหมิ่นการศึกษา พวกชาวนาที่โง่ครึ และพวกโจรผู้ดีที่ไม่สามารถเข้าใจตัวประหลาดที่เป็นลายเขียนขยุกขยิกเล็กๆ ที่เราเรียกกันว่าหนังสือนั้น ไม่เชื่อเลยว่าประชากรโดยส่วนใหญ่นั้นสามารถทำให้อ่านและเขียนหนังสือได้ ยิ่งกว่านั้นด้วยความเจริญก้าวหน้าของการพิมพ์และด้วยการที่รัฐบาลให้ความสนับสนุนอย่างเพียงพอ การอบรมสั่งสอนให้ประชาชนอ่านออกเขียนได้ จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้
นอกจากนั้น ยังมองเห็นการปฏิวัติทางวัฒนธรรมครั้งใหม่รำไรอยู่ข้างหน้าอีกครั้งว่าสมุดจะต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ และคอมพิวเตอร์สำหรับรับส่ง ซึ่งมีติดตั้งอยู่ในบ้าน จะสามารถค้นหาหนังสือหนังหาหรือเรื่องอื่นๆ ได้ตามต้องการ
ทุกๆ คนจะสามารถรวบรวมความรู้ของมนุษย์ได้เมื่อประสงค์ และทุกคนจะได้ชื่นชมยินดีอยู่กับเอกสิทธิ์ที่สามารถติดตามโปรแกรมซึ่งกำหนดขึ้นเพื่อนำไปสู่สิ่งที่ตนเองอยากรู้อยากเห็นชนิดไหนก็ได้ ปัจเจกชน (ไม่ว่าจะหนุ่มสาวเฒ่าแก่) จะสามารถค้นหาอะไรๆ อันเป็นสิ่งที่คนเราต้องการจะรู้ช้าเร็วเพียงใด หรือในเวลาไหนก็ได้ การศึกษาเรียนรู้จะกลายเป็นสิ่งสนุกสนานสำหรับทุกๆ คน
เมื่อเครื่องกลก็ทำงานในหน้าที่ของเครื่องกล คนก็ต้องทำงานในหน้าที่ของคน ถึงแม้ว่างานของมนุษย์จะยังคงมีอยู่ในโลกของปี 2084 ที่เต็มไปด้วยการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องอัตโนมัติต่างๆ ก็ตาม แต่มนุษย์ก็ยังจะได้ใช้เวลาว่าง ซึ่งเขาจะมีมากยิ่งกว่าที่เรามีกันในทุกวันนี้ ทั้งยังจะสามารถใช้ประโยชน์จากเวลาว่างได้ดีกว่าด้วย
เป็นต้นว่า ด้วยความเจริญก้าวหน้าของการสื่อสารทางดาวเทียม โลกจะถูกประสานให้ใกล้ชิดกันยิ่งกว่าที่มันเป็นอยู่ในทุกวันนี้ จะมีช่องต่างๆ สำหรับการคมนาคมติดต่อกัน นับด้วยพันล้านๆ ช่อง และด้วยการใช้คลื่นเสียงควบคู่ไปด้วยกันกับแสงเลเซอร์
ทุกๆ คนก็จะสามารถมีเครื่องส่งวิทยุโทรทัศน์ของตนเองได้ แต่ละคนสามารถติดต่อกับคนอื่นได้อย่างไม่ยากนัก โดยสามารถได้เห็นทั้งภาพและได้ยินเสียงของกันและกันด้วย
บุคคลไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลกนี้ จะสามารถตรวจสอบ ดูแล และควบคุมการทำงานของเครื่องจักรในสำนักงาน หรือในโรงงานที่เขารับผิดชอบอยู่ได้ (แน่ละ จะต้องใช้รหัสกันอย่างกวดขัน และใช้เครื่องคุมเพื่อความปลอดภัย เพราะไม่เป็นการยากนักที่จะจับอาการผิดปกติ หรืออาการที่จะเป็นภัยอันตรายได้ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์)
ประชาชนทั้งหลายสามารถมาร่วมชุมนุมกันได้บนจอโทรทัศน์ในภาพ 3 มิติ ทั้งๆ ที่โดยความจริงแล้ว เขาอาจกระจัดกระจายกันอยู่ในที่ต่างๆ ทั้ง 5 ทวีป ก็ได้
ผลก็คือว่า โลกสามารถอยู่กระจายได้อย่างปลอดภัย เพราะไม่จำเป็นที่จะต้องเอาประชากรจำนวนมากมายมากระจุกกันไว้ในพื้นที่เล็กๆ เพียงเพื่อให้ทุกคนได้อยู่ใกล้กับที่ทำงานของเขาหรือใกล้ศูนย์ติดต่อทางวัฒนธรรม การเดินทางไปมาและการเดินทางเพื่อทำธุรกิจโดยทั่วไปจะลดลงอย่างมาก
แต่ทั้งหมดก็เป็นไปได้ที่จะมีการเดินทางกันมากขึ้น เพื่อแสวงหาความสุขสำราญ เพื่อพบเพื่อนหรือญาติที่อยู่ห่างไกลเป็นการส่วนตัวเพื่อท่องโลก และรู้จักโลกให้มากขึ้น พวกเดินทางเพื่อหาความสนุก ย่อมไม่อาจแยกได้จากพวกเดินทางเพื่อธุรกิจ
นอกจากนั้น ยังมีการเดินทางแบบใหม่ๆ อีกหลายอย่าง ยานซึ่งลอยบนอากาศเหนือพื้นดินจะถูกขับเคลื่อนไปด้วยเครื่องเจ็ตที่อัดด้วยอากาศ ดังนั้น การทำถนนแบบลาดพื้นผิวจราจร และการสร้างสะพาน ก็จะกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็น
ถนนหนทางเท่าที่มีอยู่แล้ว จะถูกสงวนไว้สำหรับยานพาหนะที่บรรทุกของหนัก รถไฟจึงสามารถแล่นได้ด้วยความเร็วที่เหนือกว่าความเร็วของคลื่นเสียง
เนื่องจากการคบหาสมาคมมีมากยิ่งขึ้น จึงดูเหมือนไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ที่โลกจะต้องพัฒนาภาษาคำพูดแบบผสมชนิดหนึ่งขึ้นมา (เรียกว่า “ภาษาชาวดาว”) ซึ่งทุกๆ คนสามารถพูดเข้าใจกันได้
ภาษาพูดอย่างใหม่นี้เห็นจะมีพื้นฐานอยู่บนภาษาอังกฤษ ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นภาษาที่ครอบงำโลกอยู่แล้วโดยพื้นฐาน แต่ด้วยการผสมเข้ากับคำที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษจะทำให้มันกลายเป็นภาษาต่างประเทศมาตั้งแต่แรก แม้กับผู้ที่พูดภาษาอังกฤษเองก็ตาม ภาษาชาวดาวนี้จะกลายเป็นภาษาที่ 2 สำหรับทุกๆ คน โดยมิได้ทำลายมรดกทางวัฒนธรรมของมนุษย์ ที่เต็มไปด้วยความมั่งคั่งไพบูลย์และความหลากหลาย
ภาษานี้จะส่งเสริมให้มนุษย์มีความเข้าใจต่อกัน และเป็นมิตรไมตรีกันได้เป็นอย่างดี
แม้ท่านจะอยู่ที่บ้าน การประสานกันของยามว่างกับการศึกษาโดยอาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์ ยังจะช่วยส่งเสริมวุฒิปัญญาให้แก่ท่าน ดังนั้น “ธุรกิจการแสดง” จะกลายเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าที่มันเป็นอยู่ในปัจจุบัน มนุษย์จะถือว่าเป็นคนอย่างสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อเขารู้หนังสือ ร้องเพลงเป็น เต้นรำได้ และพูดเก่ง โดยอย่างน้อยก็สามารถพูดเพื่อความเบิกบานใจแก่ชีวิตของผู้อื่นได้เป็นส่วนตัว
ทำนองเดียวกัน การกีฬา และการเล่นต่างๆ จะแพร่ขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวางด้วยงานอดิเรกจะมีจำนวนมากขึ้น และดูออกจะยากมากที่จะทำนายได้ว่า “ความสนุกสนาน” จะมีมากมายหลายหลากขนาดไหนในโลกที่ก้าวเคลื่อนจากเราไปในหลายด้านเหลือเกิน
แต่สิ่งหนึ่งซึ่งเราแน่ใจได้ก็คือ นอกจากจะไม่มีสิ่งที่มนุษย์ไม่มีอะไรจะทำในโลกที่ “แล่นได้ด้วยตัวของมันเอง” แล้ว ชีวิตของมนุษย์จะมากล้นไปด้วยกิจกรรมต่างๆ จนทำให้การทำงานกับการเล่นปนเปกันอย่างกลมกลืนกระทั่งเป็นการยากยิ่งที่จะวินิจฉัยว่า อะไรเป็นอะไร และอะไรเป็นสิ่งอื่น
ยิ่งกว่านั้น ตลอดช่วงระยะของศตวรรษหน้า มนุษย์จะได้พบเห็นการบุกเบิกครั้งใหม่ๆ เป็นการใหญ่ เนื่องจากการเดินทางของมนุษย์ที่ได้ขยายตัวอยู่แล้ว จะถึงจุดขยายตัวเข้าสู่ห้วงอวกาศครั้งใหม่ที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อนเลย
ในปี ค.ศ. 2084 พลังงานส่วนมากที่จำเป็นต้องใช้เพื่อเครื่องจักรกลต่างๆ สามารถเดินเครื่องอยู่ได้นั้น จะได้มาจากสถานีพลังงานแสงแดดที่หมุนรอบโลกอยู่ในวงโคจรสถานีพลังงานนี้จะแปลงแสงแดดให้เป็นคลื่นไมโครเวฟ ซึ่งสามารถฉายลำแสงลงมาสู่พื้นโลก แล้วเอาไปทำเป็นไฟฟ้าอีกต่อหนึ่ง จะมีไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ในวงโคจรรอบโลกด้วยเหมือนกัน และโรงงานอุตสาหกรรมส่วนมากของมนุษย์ก็จะถูกส่งออกไปล่องลอยอยู่ในวงโคจรด้วย
โรงงานต่างๆ จะได้ใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติอันไม่เคยพบเห็นมาก่อนในอวกาศ เช่น สุญญากาศอันไม่เคยพบเห็นมาก่อนในอวกาศ อุณหภูมิที่สูงและต่ำ แรงดึงดูดที่เป็นสูญ เป็นต้น เพื่อทำการผลิตแปรรูปสิ่งต่างๆ ที่ทำบนพื้นโลกได้ก็ด้วยความยากลำบาก พืชอาหารจะถูกปลูกไว้ในสถานีไฮโดรนิกขนาดใหญ่ที่ล่องลอยอยู่ในอวกาศ สิ่งต่างๆ ทั้งหมดเหล่านี้จะทำงานโดยเครื่องคอมพิวเตอร์และหุ่นยนต์โดยตลอด ซึ่งต้องการมนุษย์เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยน้อยมาก
อวกาศจะเป็นสุสานมหึมา ที่ฝังมลภาวะซึ่งถูกปล่อยออกมาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ปริมาตรของสุสานที่หาได้สำหรับการนี้จะมีขนาดใหญ่โตยิ่งกว่าที่หาได้บนพื้นผิวโลกนับด้วยล้านๆ เท่าตัว และเราก็จะไม่ทำบ้านที่อยู่ของเราในอวกาศให้สกปรกด้วย เพราะพายุจากแสงแดดจะพัดพาสิ่งสกปรกเหล่านั้นออกไปยังที่ว่างอันใหญ่โตมหึมาสุดจะพรรณนา ที่อยู่นอกวงกลุ่มดาวของกาแล็กซีอันไกลโพ้น
จะมีการตั้งสถานีทำเหมืองแร่บนดวงจันทร์ เพื่อคอยจัดส่งวัสดุที่จำเป็นต้องใช้ในการสร้างโครงสร้างต่างๆ ทั้งหมดเหล่านี้ โดยยังไม่ได้พูดถึงหอดูดาวและห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์
จะมีการตั้งนิคมที่อยู่ขึ้นในอวกาศอย่างมากมาย ซึ่งในแต่ละแห่งจะมีมนุษย์อยู่นับด้วยจำนวนหมื่นๆ คน ทุกคนจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ใช้ระบบทางวิศวกรรมอย่างระมัดระวัง แต่ละนิคมอาจมีวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่ตนพอใจเพื่อให้มนุษย์ได้พัฒนาก้าวหน้าในประการต่างๆ นานา และอย่างหลากหลายยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา
ถ้าเราสามารถพิชิตความโง่ ความเกลียดชัง และความหวาดกลัว (โมหคติ โทสคติ ราคะคติ) ของตัวเราเองได้ และละเว้นการทำลายตัวเองในอนาคตอันใกล้ๆ นี้ได้ ขอบฟ้าเบื้องหน้าเราก็จะมีแต่แสงทองผ่องอำไพที่เป็นอนันตัง
|
|
|
|
|