"จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่" ประกาศแตกพาร์เหลือหุ้นละ 1 บาท หวังเพิ่มสภาพคล่องในตลาดหุ้น
พร้อมปรับโครงสร้างการลงทุน ด้วยการขายเงินลงทุนให้บริษัท จีเอ็มเอ็ม โฮลดิ้ง
จำกัด บริษัทย่อยที่ถือหุ้น 100%
รวมทั้งสิ้น 5 บริษัท มูลค่ารวมเกือบ 40 ล้านบาท ขณะเดียวกันทุ่มเงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนบริษัทย่อยอีก
6 แห่ง เพื่อรักษาสัดส่วนการลงทุน ด้านราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นปิดที่ 180
บาท นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน
ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAMMY
กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการครั้งที่ 3/2545 ได้มีมติให้ให้เปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้
(Par Value) จาก
เดิมกำหนดไว้หุ้นละ 10 บาท เป็น มูลค่าหุ้นละ 1 บาท ส่งผลให้ทุนจดทะเบียนเดิมของบริษัทจากเดิม
กำหนดไว้ 500 ล้านบาท แบ่งออก เป็นทุนหุ้นสามัญจำนวน 50 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ
10 บาท เป็นหุ้น
สามัญจำนวน 500 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท พร้อมกันนี้ คณะกรรมการบริษัทยังได้มีมติให้ปรับโครงสร้าง
การลงทุนในบริษัทย่อย เพื่อเป็น การปรับโครงสร้างการลงทุน รวม
ถึงการปรับโครงสร้างการใช้เงินทุน หมุนเวียนของบริษัทย่อยและบริษัทในเครือใหม่ทั้งหมด
ด้วยการขายหุ้นในบริษัทย่อยให้กับบริษัท จีเอ็มเอ็ม โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่ง เป็นบริษัทย่อยที่
GRAMMY ถือ
หุ้นอยู่ในสัดส่วนทั้ง 100% สำหรับบริษัทย่อยที่ GRAMMY ขายให้กับบริษัท
จีเอ็มเอ็ม โฮลดิ้ง จำกัด ครั้งนี้ รวม ทั้งสิ้น 4 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท
แกรมมี่ แมจิกซ์ จำกัด ผู้ผลิตสื่อการศึกษาสำหรับเด็ก
จำนวน 199,994 หุ้น ราคาหุ้นละ 14.84 บาท รวมมูลค่า 2,967,910.96 บาท บริษัท
เวอร์เทกซ์ วิชั่น จำกัด ผลิตรายการโทรทัศน์ จำนวน 139,995 หุ้น ราคาหุ้นละ
7.45 บาท มูลค่ารวม 1,042,962.75 บาท
บริษัท แกรมมี่ ไดเร็คท์ จำกัด จำนวน 39,994 หุ้น ราคาหุ้นละ 6.28 บาท มูลค่ารวม
251,162.32 บาท และบริษัท แกรมมี่ภาพยนตร์ จำกัด จำนวน 240,000 หุ้น ราคาหุ้นละ
17.78 บาท รวมมูลค่า
4,267,200 บาท นอกจากนี้ GRAMMY ได้อนุมัติให้ เอ็มจีเอ จำกัด บริษัทย่อยที่
GRAMMY ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 100% ขายเงินลงทุนในบริษัท เอ็มจีเอ รีเทล จำกัด
ให้กับบริษัท จีเอ็มเอ็ม โฮลดิ้ง จำกัด จำนวน
499,994 หุ้น ราคาหุ้นละ 58.11 บาท รวมมูลค่า 29,054,651.34 บาท โดยมูลค่าการขายหุ้นทั้ง
5 บริษัท เท่ากับ 37,583,887.37 บาท หลังจากนั้น GRAMMY ได้ อนุมัติให้ซื้อหุ้นเพิ่มทุนบริษัทย่อย
ที่ถืออยู่ในสัดส่วนทั้ง 100% เพิ่มอีก 5 บริษัท เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นไว้ทั้ง
100% เพื่อนำเงิน ที่ได้จากการเพิ่มทุนไปชำระหนี้เงิน กู้ยืมแก่บริษัทที่เกี่ยวข้องกัน
ประกอบด้วย บริษัท เมกเกอร์เฮด จำกัด
ดำเนินธุรกิจผลิตผลงานเพลง เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 20 ล้านบาท เป็น 50 ล้านบาท
โดยจะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นจาก 199,993 หุ้น เป็น 499,993 หุ้น บริษัท กรีนบีนส์
จำกัด
ดำเนินธุรกิจผลิตผลงานเพลง เพิ่ม ทุนจาก 2 ล้านบาท เป็น 4 ล้านบาท โดย GRAMMY
เข้าถือหุ้นเพิ่มจาก 19,993 หุ้น เป็น 39,993 หุ้น บริษัท มีฟ้า จำกัด ดำเนินธุรกิจโรงเรียนสอนดนตรี
เพิ่มทุน
จดทะเบียนจาก 35 ล้านบาท เป็น 45 ล้านบาท โดย GRAMMY จะถือหุ้นเพิ่มจาก
349,993 หุ้น เป็น 449,993 หุ้น บริษัท แกรมมี่ คอมมิว- นิเคชั่น จำกัด ดำเนินธุรกิจการตลาดแบบครบวงจร
เพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิม 20 ล้านบาท เป็น 25 ล้านบาท โดย GRAMMY จะถือหุ้นเพิ่มจาก
199,994 หุ้น เป็น 249,994 หุ้น และบริษัท แกรมมี่ พับลิชชิ่ง เฮ้าส์ จำกัด
ดำเนินธุรกิจ ลงทุนในธุรกิจสิ่งพิมพ์
เพิ่มทุนจาก 150 ล้านบาท เป็น 165 ล้านบาท โดย GRAMMY จะถือหุ้นเพิ่มทุน
จาก 1,499,994 หุ้น เป็น 1,649,994 หุ้น พร้อมกันนี้ ได้อนุมัติให้บริษัท
เอ็มจีเอ จำกัด บริษัทย่อยที่ GRAMMY
ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 100% ซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท แกรมมี่ เน็ตเวิร์ค
จำกัด ที่ดำเนิน ธุรกิจจำหน่ายและให้เช่าสินค้าเพื่อ ความบันเทิง เพิ่มทุนจาก
100 ล้าน บาท เป็น 110 ล้านบาท โดยเอ็มจีเอ
จะถือหุ้นเพิ่มจาก 999,993 หุ้น เป็น 1,099,993 หุ้น นอกจากการปรับโครงการการลงทุนในบริษัทย่อยดังกล่าวข้างต้นแล้ว
ที่ประชุมคณะกรรม การบริษัทยังได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการประกอบด้วย
นายเดช บุลสุช ดำรงตำแหน่งกรรมการอิสระและกรรมการตรวจสอบ และนางสายทิพย์
มนตรีกุล ณ อยุธยา ดำรงตำแหน่งกรรมการ
โดยคณะกรรมการจะนำเสนอเรื่องทั้งหมดต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่
1/2545 พิจารณาอนุมัติอีกครั้งในวันที่ 16 กรกฎาคม 2545 และกำหนดปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้น
เพื่อสิทธิในการเข้าร่วมประชุมตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2545 เป็นต้นไป
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการเปลี่ยน แปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ของ
GRAMMY ครั้งนี้ บริษัทคงต้อง
การเพิ่มสภาพคล่องในตลาดหุ้นมากขึ้น เนื่องจากราคาหุ้นของ GRAMMY อยู่ในระดับค่อนข้างสูง
การแตกพาร์จะทำให้นักลงทุน หันมาสนใจมากขึ้น
แม้ว่ากลุ่มบันเทิงจะเป็นกลุ่มที่นักลงทุนให้ความสนใจอยู่แล้วก็ตาม ทั้งนี้ก่อนหน้านี้
ระดับราคาหุ้น GRAMMY อยู่ในระดับที่ค่อน ข้างต่ำ คือต่ำกว่าหุ้นละ 100 บาท
ซึ่งผู้บริหารเห็นว่าต่ำกว่าราคามูลค่าค่อนข้างมาก จึงได้ประกาศโครงการรับซื้อหุ้นคืนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ทำให้ราคาหุ้น ได้ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะมีการประเมินว่าราคาหุ้นน่าจะอยู่ที่ระดับเหนือ
170 บาท สำหรับความเคลื่อนไหวของ ราคาหุ้น GRAMMY ล่าสุดวานนี้ (11 มิ.ย.)
ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า โดยขึ้นไปทำราคา สูงสุดที่ 181 บาท
ต่ำสุดที่ 173 บาท
ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ระดับ 180 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า 9 บาท หรือคิดเป็น
5.26% ปริมาณ การซื้อขาย 187,200 หุ้น มูลค่าการซื้อขายรวม 33.42 ล้านบาท
ด้านผลการดำเนินประจำไตรมาสแรก
สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2545 นั้น GRAMMY มี กำไรสุทธิ 113.07 ล้านบาท
กำไรสุทธิต่อหุ้น 2.26 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 54.72
ล้านบาท และกำไรสุทธิต่อ หุ้น 1.09 บาท
ทั้งนี้สืบเนื่องจากบริษัทมีรายได้รวมเพิ่มขึ้นจำนวน 297.2 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ
28.8 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากธุรกิจเพลงในประเทศและธุรกิจวิทยุ ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการ
ขายและบริหารเพิ่มขึ้นจากการตั้งสำรองหนี้สูญประมาณ 80 ล้าน บาท ที่ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจหนังสื่อและสื่อการเรียนการสอนที่หยุดดำเนินการแล้ว