Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กุมภาพันธ์ 2527








 
นิตยสารผู้จัดการ กุมภาพันธ์ 2527
รายละเอียดมาตรา...ต่อมาตรา             
 


   
search resources

Financing
Credit Card
Law




ถ้าจะสรุปการเปลี่ยนแปลงในด้านรายละเอียดของพระราชกำหนดหลายๆ มาตราที่สำคัญซึ่งจะมีผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทเงินทุน, บริษัทหลักทรัพย์และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์แล้ว ก็จะมีดังนี้ :-

• มาตรา 4 ในเรื่อง “คำนิยาม” การเปลี่ยนแปลงก็คือ (1) เปลี่ยนนิยามคำว่า “หลักทรัพย์” โดยยกเลิกข้อความ “ตั๋วเงินหรือตราสารพาณิชย์อื่นๆ” และเพิ่มเติมข้อความใน (6) ตราสารอื่นใดตามที่กำหนดในกฎกระทรวงข้อนี้จะมีผลทำให้การดำเนินธุรกิจของบริษัทหลักทรัพย์เกี่ยวกับตั๋วเงินหรือตราสารพาณิชย์อื่นๆ กระทำต่อไปไม่ได้ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2526 เป็นต้นไป ต่อมาใน (2) เพิ่มคำนิยามว่า “ผู้จัดการ” และ “สถาบันการเงิน” เข้าไป ผลที่เกิดขึ้นหมายถึง ต่อไปนี้คำว่า “ผู้จัดการ” ให้หมายรวมถึงรองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการ และผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าและ “สถาบันการเงิน” หมายถึงสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน

• มาตรา 6 ทวิ เรื่องตั้งคณะกรรมการ การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญก็คือ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งทำหน้าที่ให้คำเสนอแนะต่อธนาคารแห่งประเทศไทยในการออกข้อกำหนดและดำเนินมาตรการที่เป็นอำนาจหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ผลจากมาตรานี้บ้างก็ว่าเพื่อให้มีการประสานงานที่ดียิ่งขึ้นระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยกับกระทรวงการคลัง บ้างก็ว่ากระทรวงการคลังเข้ามาก้าวก่ายหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยโดยตรงมากขึ้น...ก็ว่ากันไป

• มาตรา 13 เรื่องการใช้ชื่อหรือคำแสดงชื่อในธุรกิจ มีการเปลี่ยนแปลงคือ ห้ามบุคคลใดนอกจากบริษัทเงินทุน (รวมทั้งบริษัทหลักทรัพย์และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ด้วย) ใช้ชื่อหรือคำแสดงชื่อธุรกิจว่า “การลงทุน” หรือ “เครดิต” หรือคำอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกัน เว้นแต่ธนาคารพาณิชย์หรือสำนักงานที่ทำการแทนธนาคารต่างประเทศ ผลที่ติดตามมา บุคคลใดนอกจากบริษัทเงินทุน (บริษัทหลักทรัพย์และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์) ที่ใช้ชื่อในธุรกิจว่า “การลงทุน” หรือ “เครดิต” หรือคำอื่นที่มีความหมายเช่นเดียวกันทั้งในคำภาษาไทยและภาษาต่างประเทศจะต้องแก้ไขให้ถูกต้องตามบทเฉพาะกาลในพระราชกำหนดมาตรา 37 คือภายใน 180 วันนับแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2526 (สำหรับบุคคลใดใช้ชื่อในธุรกิจว่า “เงินทุน” หรือ “การเงิน” หรือ “ทรัสต์” “ไฟแนนซ์” เป็นความผิดมาตรา 13 อยู่แล้ว)

• มาตรา 14, 53 และบทเฉพาะกาล มาตรา 38, 39, 40 เรื่องทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วของบริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญดังนี้ (1) บริษัทเงินทุนต้องมีทุนจดทะเบียนและทุนซึ่งชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 60 ล้านบาท (2) บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ต้องมีทุนจดทะเบียนซึ่งชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท ผลก็คือ บริษัทที่มีทุนจดทะเบียนและทุนซึ่งชำระแล้วไม่ถูกต้อง จะต้องเพิ่มทุนหรือทำให้มีเงินกองทุนไม่ต่ำกว่าจำนวนที่กำหนด นัยหนึ่ง...บริษัทเงินทุน ไม่น้อยกว่า 30, 40, 50 และ 60 ล้านบาทภายใน 1 ปี 2 ปี 3 ปี และ 4 ปีตามลำดับ...ส่วนบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ต้องไม่น้อยกว่า 10, 20 และ 30 ล้านบาทภายใน 1 ปี 2 ปี และ 3 ปีตามลำดับ ถ้ามีเหตุจำเป็นและสมควร รัฐมนตรีคลังจะขยายระยะเวลาโดยมีเงื่อนไขใดๆ ก็ได้

• มาตรา 14 วรรคสองและมาตรา 56 เรื่องบุคคลใดได้รับการยกเว้นให้ถือหุ้นเกินร้อยละ 10 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ การเปลี่ยนแปลงได้ให้ข้อยกเว้นสำหรับหุ้นที่เป็นส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ นิติบุคคลที่มีกฎหมายจัดตั้งเฉพาะหรือผู้ที่ได้รับการผ่อนผันจากธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีคลัง

• มาตรา 20(7) (10) และ (12) เรื่องข้อห้ามมิให้บริษัทเงินทุนกระทำ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงและเพิ่มเติมก็คือ

1. เพิ่ม การให้กู้ยืมแก่บุคคลที่ถือเป็นการให้กู้ยืมแก่กรรมการ

2. ห้ามบริษัทเงินทุนรับรอง อาวัลหรือสอดเข้าแก้หน้าที่ในตั๋วเงินที่กรรมการหรือบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง เป็นผู้สั่งจ่ายหรือผู้ออกตั๋วหรือเป็นผู้สลักหลัง

3. การขายหรือให้อสังหาริมทรัพย์ใดๆ หรือสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่ารวมกันสูงกว่า 50,000 บาท หรือซื้อทรัพย์สินจากกรรมการ ต้องได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย

4. บริษัทจะให้บุคคลอื่นมีอำนาจทั้งหมดหรือบางส่วนในการบริหารงานของบริษัทเงินทุนไม่ได้ เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย

• ต่อมาใน มาตรา 22, 49 และ 56 เรื่องคุณสมบัติของผู้บริหารบริษัทเงินทุน, บริษัทหลักทรัพย์และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ การเปลี่ยนแปลงก็คือ ประการแรกสุด ธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีอำนาจกำหนดคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้บริหารได้ ประการต่อมาข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำหรือพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทยจะเป็นผู้บริหารไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับการแต่งตั้งด้วยความเห็นชอบจากรัฐมนตรีหรือกรณีที่ได้รับการแต่งตั้งตามมาตรา 57 ทวิ ผล..บริษัทซึ่งดำเนินการอยู่แล้วในวันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ จะต้องขอความเห็นชอบในการแต่งตั้งกรรมการ ผู้จัดการหรือพนักงานหรือบุคคลผู้มีอำนาจในการจัดการหรือที่ปรึกษาบริษัทภายใน 60 วัน โดยคุณสมบัตินี้ประกอบด้วย คุณวุฒิการศึกษาขั้นต่ำ ประสบการณ์ขั้นต่ำ และคุณสมบัติอื่นๆ ตามที่กฎหมายกำหนดซึ่งคาดกันว่าจะมีพนักงานและผู้บริหารให้พิจารณารวมแล้วไม่ต่ำกว่า 3,000 ราย

• มาตรา 22 ทวิ 49 และ 56 เรื่องมาตรฐานการทำบัญชี การเปลี่ยนแปลงคือ บริษัทต้องจัดทำบัญชีแสดงสินทรัพย์และหนี้สินให้ครบถ้วนถูกต้องเป็นปัจจุบันตรงตามความเป็นจริงและบัญชีนั้นให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด

• มาตรา 22 ตรี 49 และ 56 เรื่องการรับจ่ายเงิน การทำนิติกรรม การตรวจสอบและการควบคุมภายใน การเปลี่ยนแปลงกำหนดให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจกำหนดให้บริษัทถือปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องที่กล่าว

• มาตรา 23 วรรคหนึ่งวรรคสองและวรรคสาม มาตรา 49 และมาตรา 56 เรื่องการเปิดเผยข้อมูล หรือประกาศรายการของบริษัทเงินทุนบริษัทหลักทรัพย์และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ การเปลี่ยนแปลงคือ

1. ให้บริษัทส่งงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุน ณ วันสิ้นปีธุรกิจที่ผ่านการรับรองของผู้ตรวจสอบบัญชีและได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่แล้วให้แก่รัฐมนตรีและธนาคารแห่งประเทศไทย

บริษัทต้องประกาศรายการหรือเปิดเผยข้อมูลตามหลักเกณฑ์และระยะเวลาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดพร้อมกับส่งสำเนารายงานให้รัฐมนตรีและธนาคารแห่งประเทศไทยทราบด้วย

• มาตรา 23 วรรคสามวรรคสี่และมาตรา 49 มาตรา 56 เรื่องผู้สอบบัญชีของบริษัทเงินทุนบริษัทหลักทรัพย์และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ 2 ประการคือ

1. ผู้สอบบัญชีต้องรักษามรรยาทและรับรองบัญชีให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยผู้สอบบัญชี รวมทั้งมาตรฐานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดขึ้นเพิ่ม กับเปิดเผยข้อเท็จจริงและแจ้งพฤติการณ์ไว้ในรายการการสอบบัญชีพร้อมกับรายงานธนาคารแห่งประเทศไทยทราบด้วย

2. ผู้สอบบัญชีต้องได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทยทุกรอบปีบัญชี...หมายถึงบริษัทจะต้องขอความเห็นชอบเรื่องตัวผู้สอบบัญชีทุกปีจากธนาคารแห่งประเทศไทยนั่นเอง

• มาตรา 23 ทวิ มาตรา 49 และมาตรา 56 เรื่องการปิดบัญชีกับการตัดสินทรัพย์สูญการกันเงินสำรอง พระราชกำหนดฯ ใหม่ระบุว่า บริษัทต้องปิดบัญชีทุกงวดการบัญชีในรอบระยะเวลา 6 เดือน และต้องตัดสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ออกจากบัญชี (หมายถึงหนี้สูญ) พร้อมทั้งกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ (หนี้สงสัยจะสูญ) เว้นแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะอนุญาตให้เป็นอย่างอื่น

• มาตรา 26 ทวิ มาตรา 56 และมาตรา 65 ทวิ เรื่องกำหนดให้บริษัทที่มีผลขาดทุนมาก แก้ไขฐานะและการดำเนินงาน ผลจากการเปลี่ยนแปลงตามพระราชกำหนดฯ คือ

1. บริษัทที่ขาดทุนจนเงินกองทุนลดลงเหลือ 3 ใน 4 ของทุนชำระแล้ว ห้ามรับเงินจากประชาชนอีกต่อไป เว้นแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะให้ความเห็นชอบภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด

2. บริษัทที่ขาดทุนจนเงินกองทุนลดลงเหลือไม่เกินกึ่งหนึ่งของทุนชำระแล้ว ต้องระงับการดำเนินกิจการกับให้เสนอโครงการแก้ไขฐานะการเงินให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาเห็นชอบภายใน 14 วัน หากธนาคารไม่ให้ความเห็นชอบ บริษัทสามารถอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีภายใน 14 วัน นับแต่วันได้รับแจ้งการวินิจฉัยโครงการ

ผล...หากบริษัทมิได้เสนอโครงการแก้ไขฐานะภายในกำหนดหรือไม่ปฏิบัติตามโครงการหรือไม่ได้รับความเห็นชอบในโครงการจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้บริษัทเป็นอันเลิกบริษัทจำกัดและถือว่าใบอนุญาตของบริษัทถูกเพิกถอน

• มาตรา 26 ตรีและมาตรา 56 เรื่องการหยุดทำการจ่ายของบริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น...หากบริษัทที่หยุดจ่ายเงินที่ต้องชำระคืนต้องแจ้งให้รัฐมนตรีและธนาคารแห่งประเทศไทยทราบทันที และห้ามดำเนินการใดๆ เว้นแต่รัฐมนตรีอนุญาต อีกทั้งให้ส่งรายงานแสดงผลภายใน 7 วัน ผลจากมาตราเหล่านี้ รัฐมนตรี (คลัง) มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานไปสอบสวนและมีอำนาจสั่งการตามที่เห็นสมควร รวมทั้งสั่งควบคุมบริษัทหรือเพิกถอนในอนุญาต

• มาตรา 29 และมาตรา 56 เรื่องการดำรงเงินกองทุนจดทะเบียนและเงินทุนซึ่งชำระแล้วเป็นสินทรัพย์ที่กำหนด การเปลี่ยนแปลงระบุให้ธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี อาจกำหนดให้บริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ดำรงเงินทุนจดทะเบียนและเงินทุนซึ่งชำระแล้วเป็นสินทรัพย์ตามชนิดวิธีการ และเงื่อนไขได้ กล่าวคือ...ทุนที่มีอยู่ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถกำหนดว่าจะต้องดำรงอยู่ในสินทรัพย์ประเภทใดบ้าง…

• มาตรา 35 วรรคสองและมาตรา 56 เรื่องการให้กู้ยืมแก่ลูกหนี้รายใหญ่ของบริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์…และ มาตรา 35 วรรคสี่ เรื่องจำนวนเงินสูงสุดที่ให้กู้ได้ต้องไม่เกินอัตราส่วนกับทุนหรือเงินกองทุนของผู้กู้ มาตราเหล่านี้เป็นการปรับปรุงข้อความในมาตรา 35(4) ของพระราชบัญญัติเดิม กล่าวคือ ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจกำหนดอัตราส่วนให้กู้ยืมกับทุนหรือเงินกองทุนของผู้กู้ยืมที่เป็นห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัดได้

• มาตรา 57 ทวิ เรื่องการปฏิบัติฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด มีการระบุไว้เพิ่มเติมในพระราชกำหนดฯ คือ

1. ธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีคลัง มีอำนาจถอดถอนกรรมการหรือผู้จัดการเมื่อบริษัทไม่ถอดถอนตามคำสั่งภายใน 14 วันและแต่งตั้งผู้อื่นเข้าบริหารแทนชั่วคราว...หรือให้ถือว่าคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นมติของผู้ถือหุ้น...

2. ห้ามไม่ให้บุคคลที่ถูกถอดถอนเข้าไปเกี่ยวข้องหรือดำเนินการในบริษัท

• มาตรา 68(2) (5) เรื่องอำนาจหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นคือ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าตรวจสอบสถานที่อันมีเหตุควรสงสัยว่า มีเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับกิจการของบริษัทและเข้าไปตรวจสอบกิจการของลูกหนี้ของบริษัทได้   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us