|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ กุมภาพันธ์ 2527
|
|
ความจริงแล้วสุพจน์เกิดผิดยุคผิดสมัย ถ้าเขาเกิดในสมัยอุเทน เตชะไพบูลย์ หรือสมัยที่ชิน โสภณพนิช ยังเป็นหนุ่มอยู่ ด้วยความมุมานะและด้วยความเฉลียวฉลาดและความใจถึง สุพจน์อาจจะประสบความสำเร็จมีเงินทองอำนาจวาสนาและบารมี
สุพจน์มาโตเอายุคสมัยที่การแข่งขันค่อนข้างจะงวด และบนเวทีมีแต่ผู้ต้องการจะท้าชิง ฉะนั้นการต่อสู้ของสุพจน์จึงเป็นการต่อสู้ที่ปราศจากคนหนุนหลัง
สุพจน์โชคดีที่มีผู้ฝากเงินตั้ง 4,000 กว่าคนเป็นผู้หนุนหลังและให้กำลังใจ
เพียงสุพจน์ใจร้อนและทะเยอทะยานจนเกินไป
คนใกล้ชิดสุพจน์ต่างพูดว่าสุพจน์เป็นคนมีความเชื่อมั่นในตัวเองเป็นอย่างสูง จนถึงขนาดคิดว่าตัวเองถูกต้องตลอดเวลา
ปมด้อยของสุพจน์อยู่ที่ไม่มีการศึกษา และสุพจน์จะแสดงออกทางการตัดสินใจในทางธุรกิจเพื่อให้คนอื่นเห็นว่าถึงแม้ตัวเองจะเรียนมาน้อย แต่ประสบการณ์ชีวิตมีมากทำงานได้เก่งกว่าคนมีการศึกษา
ฉะนั้นในการลงทุนของสุพจน์จึงเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงเอามากๆ ตั้งแต่การเป็นเจ้าของบริษัทแชร์และทรัสต์เถื่อนหลายแห่ง รวมทั้งเป็นผู้หนุนหลังวงการคอมมอดิตี้บางแห่งด้วย การที่สุพจน์ทำเช่นนี้ นอกจากความใจถึงแล้วยังเป็นการปรามาสคนในวงการบริหารการเงินด้วยว่าค้าขายเงินถ้าค้าขายเป็นจะได้กำไรมาก
เริ่มต้นถูกแต่เดินทางผิด
ในการเริ่มบริษัทเงินทุนเยาวราชนั้น สุพจน์ได้เปรียบกว่าบริษัททุนเจ้าอื่นหรือแม้แต่บริษัทเงินทุนที่ธนาคารเป็นเจ้าของ
จากผู้ร่วมถือหุ้น 183 คน และผลกำไรร่วม 8 ล้านกว่าในปีที่สองของการดำเนินการ และได้จ่ายเงินปันผลไป 3 ล้าน 7 แสนบาทแก่ผู้ถือหุ้นหรือตกหุ้นละ 9.25 บาท สุพจน์ไม่เพียงแต่จะสามารถพิสูจน์ให้ผู้บริหารคนอื่นเห็นว่าสุพจน์จากคนทำปั๊มน้ำมันก็สามารถบริหารบริษัทเงินทุนให้มีกำไรได้ สุพจน์ยังสามารถทำความปรีดาให้กับผู้ถือหุ้นซึ่ง 90 กว่า เปอร์เซ็นต์เป็นพ่อค้าขนาดเล็กและขนาดกลางรวมทั้งชาวบ้านคนจีนที่รู้จักเก็บออมพร้อมใจกันหาเงินฝากให้สุพจน์
จากคน 183 คนที่ถือหุ้น ถ้าคนหนึ่งหาเงินฝากได้ 500,000 บาท สุพจน์ก็จะได้ฐานเพิ่มขึ้นอีกมาก และยังมีคนภายนอกอีกล่ะ
สังคมจีนเป็นสังคมปิด ข่าวจะแพร่ได้เร็ว การเจริญเติบโตในด้านเงินฝากของเยาวราชไฟแนนซ์ก็เป็นเครื่องพิสูจน์อยู่แล้ว
ถ้าสุพจน์อดกลั้นคืบก้าวไปด้วยความระมัดระวัง และถ้าสุพจน์เข้าใจดีถึงความรับผิดชอบที่นักธุรกิจต้องมีต่อลูกค้าแล้ว สุพจน์เองจะไม่ขยายงานแบบไม่ลืมหูลืมตาโดยที่ไม่ได้ปรับพื้นฐานของตัวเองให้แน่นเสียก่อน
ความทะเยอทะยานส่วนตัว
ทุกคนควรจะมีความทะเยอะทะยาน เพราะถ้าขาดไปก็จะขาดเป้าหมายในชีวิต แต่ความทะเยอะทะยานของสุพจน์เป็นความทะเยอทะยานส่วนตัว สุพจน์ยึดถือตัวเองเป็นที่ตั้งมากจนเกินไป
ทุกลมหายใจเข้าออก สุพจน์ต้องการเพียงแต่จะ PROMOTE ตัวเอง โดยลืมนึกถึงภาระรับผิดชอบที่ตัวเองต้องแบกไว้กับประชาชน
การ PROMOTE ตัวเองนั้น ย่อมหมายถึงการพยายามถีบตัวเองขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ และในโลกของธุรกิจ การถีบตัวเองก็คือการทำงานให้ใหญ่ขึ้นตลอดเวลาเพื่อให้คนกล่าวขวัญถึง
การได้เป็นเจ้าของสถาบันการเงินสามแห่ง เป็นกรรมการของโรงแรมชั้นหนึ่ง เป็นผู้ถือหุ้นและหวังจะเป็นกรรมการของธนาคารอีกแห่งหนึ่ง ตลอดจนการเข้าไปร่วมสังฆกรรมในธุรกิจหลายๆ อย่าง เพียงเพื่อให้มีคนยกนิ้วแล้วบอกว่า สุพจน์เก่งนั้น เป็นเพียงภาพลวงตาที่เป็นมายามาหลอนให้ลุ่มหลงกับหัวโขนที่ถูกสวมให้เท่านั้นเอง
และในที่สุดสัจธรรมของธุรกิจก็เผยออกมาอีกนับครั้งไม่ถ้วนว่าถ้าพื้นฐานของธุรกิจหลักไม่แน่นพอแล้ว เสาอื่นที่ลงบนฐานนั้นก็จะโอนเอนและล้มคว่ำไปในที่สุด
การขาดความรู้จริงในธุรกิจ
สุพจน์อาจจะเก่งในเรื่องการสร้างเนื้อสร้างตัวจากการค้าขายหลายอย่าง แต่นั่นก็ไม่ใช่ปริญญาบัตรที่จะทำให้สุพจน์เก่งไปทุกอย่าง
ในการบริหารการเงินเป็นศาสตร์ที่นอกจากต้องใช้ไหวพริบปฏิภาณและประสบการณ์เข้าช่วยแล้ว ยังจะต้องใช้พื้นฐานการศึกษาในด้านอื่นๆ เข้ามาประกอบ และจากลักษณะการบริหารงานของสุพจน์ซึ่งออกมาแบบ ONE MAN SHOW ย่อมทำให้สุพจน์ตัดสินใจผิดพลาดไปหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการลงทุน
การไม่เข้าใจคำว่า “ผู้จัดการ”
สุพจน์ เดชสกุลธร พูดเก่งมีวาทศิลป์ที่เยี่ยมยอด แต่สุพจน์กลับเป็นนักบริหารที่เละเทะที่สุด
สุพจน์ชอบรวบอำนาจไว้ทุกอย่าง ทุกประการจะต้องผ่านห้องสุพจน์หมด จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าประหลาดใจที่สุพจน์ไม่สามารถจะเอาคนมีฝีมือไว้ทำงานด้วย เพราะในเมื่อทุกอย่างผู้จัดการจะเป็นผู้ตัดสินใจเสียเอง ก็ไม่มีความจำเป็นที่คนมีฝีมือคนนั้นจะอยู่ด้วย
ความจริงแล้วจากเด็กเข็นผักที่บางคล้าฉะเชิงเทรา สุพจน์มาได้ไกลขนาดนี้ก็นับว่าเป็นคนที่เก่งเอามากๆ คนหนึ่ง
สุพจน์เท่าที่ทราบเป็นคนที่รับผิดชอบต่อครอบครัวได้สูง เมื่อเขามีเงินมีทอง เขาส่งน้องๆ ไปเรียนต่างประเทศจนสำเร็จ ให้งานน้องทำ ซื้อรถ ให้ที่อยู่
สุพจน์มีสองบ้าน แต่ก็ดูแลทั้งสองบ้านด้วยความยุติธรรมเป็นที่น่านับถือ
เพียงแต่น่าเสียดายที่สุพจน์รับผิดชอบแต่ครอบครัวเท่านั้น
แต่กับประชาชน สุพจน์ยังจะต้องพิสูจน์มากกว่านี้ว่า ตัวเองก็รับผิดชอบต่อประชาชนเช่นกัน
|
|
|
|
|