อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับเป็นธุรกิจส่งออกระดับแนวหน้าของไทย ทำรายได้เข้าประเทศปีละหล่นหมื่นล้านบาทในปัจจุบัน
และมีแนวโน้มว่าจะทำรายได้เข้าประเทศได้ถึง 1 แสนล้านในอีก 5 ปีข้างหน้า
แต่ปัญหาใหญ่กำลังรุกคืบเข้ามาคือ อาจจะต้องสูญเสียตลาดให้กับคู่แข่งสำคัญอย่าง
ญี่ปุ่น, อเมริกาในเร็ววันนี้ กลุ่มแพรนด้า จิวเวลรี่ หนึ่งในห้ายักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมอัญมณีเครื่องประดับไทย
จึงจำเป็นต้องตัดสินใจกระโจนออกต่างประเทศวางฐานตลาดในอเมริกา และยุโรป"
การขยายตัวของการค้าแบบ GLOBALIZATION ในโลกปัจจุบัน อุตสาหกรรมใดก็ตาม
ที่ไทยมีความได้เปรียบในเชิงการผลิต ถ้าไม่นำสิ่งที่ได้เปรียบนี้ ไปให้ถึงมือผู้ซื้อหรือถึงตลาด
วันหนึ่งอุตสาหกรรมเหล่านั้นอาจจะต้องสูญเสียตลาดให้กับคู่แข่งขันได้ง่ายๆ
เป็นคำกล่าวที่ไม่ผิดนัก กับอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกของไทย ในการค้าของโลกยุคปัจจุบัน…
เพราะนั่นคือ สิ่งที่กำลังจะกลายมาเป็นปัญหาใหญ่ ของอุตสาหกรรมส่งออกระดับแนวหน้าของไทย
อย่างสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย
เพราะเมื่อขอบเขตการสื่อสารการคมนาคมระหว่างประเทศ มีพัฒนาที่ก้าวล้ำไปเป็นอย่างมาก
การเชื่อมโยงของตลาดการค้าโลก ไม่ว่าจะเป็นทวีปอเมริกา ยุโรป หรือแม้กับประเทศในเอเซีย
จึงไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป
ทุกภูมิภาคของโลก…เสมือนประเทศที่ไร้พรมแดนระหว่างกัน
โดยพื้นฐานแล้วอุตสาหกรรมการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออก
จำต้องพึ่งพาตลาดในต่างประเทศเป็นหลัก
ด้วยตัวเลขในปัจจุบันไทยมีการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับในปี 2534 มีตัวเลขการส่งออกประมาณ
38,167 ล้านบาท ปี 2535 ประมาณ 40,600 ล้านบาท และในปี 2536 คาดว่าจะมีประมาณ
45,600 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 5,000 ล้านบาท
นอกจากนั้น เป้าหมายในอนาคตจะมีการส่งออกให้ถึง 1 แสนล้านบาท ในอีก 5 ปีข้างหน้านับตั้งแต่ปี
2536 เป็นต้นไป
แต่ความเป็นไปได้มากน้อยนั้น ก็ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของอุตสาหกรรมนี้เป็นสำคัญ
เพราะในปัจจุบันอุตสาหกรรมการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับ กำลังเผชิญกับการแข่งขันทางด้านการผลิตและการตลาด
จากประเทศผู้เป็นต้นตำหรับสมัยเริ่มแรก อย่างอมริกา และญี่ปุ่น
ซึ่งได้ย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศ ที่มีแรงงานฝีมือ และมีอัตราค่าจ้างต่ำ
อย่างประเทศในแถบเอเซีย เช่น ไต้หวัน จีน ศรีลังกา ฯลฯ
โดยเฉพาะในประเทศไทย ที่ถือว่าเป็นฐานการผลิตที่สำคัญแห่งหนึ่งของภูมิภาคเอเซีย
บริษัทต่างประเทศเหล่านั้น ได้กลายมาเป็นคู่แข่งที่สำคัญของบริษัทไทย ทั้งทางด้านการผลิตและส่งออก
เหมือนกับที่ไทยก็เคยได้ชื่อว่าเป็นคู่แข่งที่สำคัญมาก่อน ในเรื่องความได้เปรียบในด้านการผลิตในสมัยเริ่มแรก
ไม่ว่าจะเป็นบริษัท บีจูส์ ดามูร์ ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของญี่ปุ่น บริษัท
เอสเซกอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริษัทของอเมริกา ซึ่งทั้ง 2 ย้ายฐานการผลิตมาอยู่ในประเทศไทย
อาศัยฐานแรงงานฝีมือของไทย
บีจูส์ ดามูร์ ได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเมื่อปี 2528 ตั้งโรงงานผลิตและส่งออกเครื่องประดับอัญมณีที่ผลิตจากทองคำ
แพลตตินั่มและอัญมณีแท้ไปยังต่างประเทศทั้งหมด โดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก
BOI
สินค้าที่ผลิตได้แก่ แหวน สร้อยคอ สร้อยข้อมือ จี้ เข็มกลัด ต่างหู ซึ่งมีราคาอยู่ระหว่าง
100-500 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทยในราว 2,600-13,000 บาท/ชิ้น (จัดว่าเป็นสินค้าในระดับราคาปานกลางถึงระดับสูง)
และได้จดทะเบียนเข้าเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อปี 2534 โดยมีบริษัท
ยามานาชิคิมโปชา จำกัด จากญี่ปุ่นเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ด้วยสัดส่วน 35%
ของทุนจดทะเบียน
ตลาดที่สำคัญ คือ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เยอรมัน สเปน สวิตเซอร์แลนด์ และเบลเยี่ยม
ฯลฯ ญี่ปุ่นถือว่าเป็นตลาดหลัก และรองลงไปคือ สหรัฐอเมริกา ประเทศอื่น ในสัดส่วน
52:18:30 ซึ่งจัดว่าเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สำคัญรายหนึ่ง
เดือนมีนาคมปี 2535 ที่ผ่านมา บีจูส์ ดามูร์ มีแผนการที่จะเข้าร่วมลงทุนและการเข้าซื้อกิจการอัญมณีในต่างประเทศ
ทั้งในอเมริกาและยุโรป ซึ่งก็อยู่ระหว่างการคัดเลือกพิจารณาบริษัทที่เหมาะสม
ส่วนบริษัทเอสเซก อินเตอร์เนชั่นแนล ผู้ผลิตส่งออกอัญมณีรายใหญ่อีกรายหนึ่งเช่นกัน
ย้ายฐานเข้าสู่ประเทศไทยเมื่อ ปี 2527 และเข้าเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ในปี
2534 เช่นเดียวกัน เอสเซกฯ มีบริษัทแม่อยู่ในอเมริกา คือบริษัท TOWN &
COUNTRY CORPORATION (T & C) และถือหุ้นใหญ่ในเอสเซกฯ กว่า 60% ของทุนจดทะเบียนทั้งหมด
เอสเซกฯ ได้รับการส่งเสริมการลงทุน BOI เพื่อผลิตส่งออกเครื่องประดับอัญมณีที่ทำด้วยทองประดับด้วยอัญมณีแท้
จำหน่ายไปยังต่างประเทศทั้งหมด
ตัวสินค้าที่ผลิตได้แก่ แหวน จี้ ต่างหู สร้อยคอ กำไล และสร้อยข้อมือ ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัทคือ
"ESX" และเครื่องหมายการค้าของลูกค้า
ตลาดที่สำคัญคือ อเมริกา โดยมีการจำหน่ายให้กับบริษัทแม่ ซึ่งคิดเป็น 70%
ของการส่งออกทั้งหมดและอีก 30% จำหน่ายให้กับลูกค้าของบริษัทเอง
ทั้ง 2 บริษัทนั้น เคยประสบกับปัญหาขาดแคลนแรงงานฝีมือเจียระไน และการบริหารงานบุคคลในอดีตที่ผ่านมา
ทั้งในญี่ปุ่นก็ดี สหรัฐอเมริกาก็ดีเพราะอุตสาหกรรมนี้ต้องพึ่งแรงงานฝีมือจำนวนมาก
ในการเจียระไนและการขึ้นรูปเครื่องประดับ
"ฝรั่งไม่มีใครทำงานนี้เพราะปกครองยาก" ปรีดา เตียสุวรรณ์ แห่งแพรนด้าฯ
ผู้ผลิตอัญมณีชั้นนำของไทย เล่าให้ฟัง
แม้แต่ค่าแรงงานก็เป็นเหตุหนึ่งเหมือนกันสำหรับในประเทศที่พัฒนาแล้ว แรงงานเหล่านี้พอเริ่มมีระดับความรู้ความชำนาญจากการอบรมที่ดีขึ้น
ค่าแรงจึงต้องขยับขึ้นมาเป็นเงาตามตัว
การจะกดแรงงานฝีมือเหล่านี้ไว้ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ยากและไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นการที่ค่าแรงงานที่ถีบตัวสูงขึ้น
ปัญหาที่ตามมาคือ สินค้าที่ผลิตได้มีราคาแพง แข่งขันสู้ราคาในตลาด กับประเทศที่ได้เปรียบทางด้านค่าแรงงานที่ถูกกว่าไม่ได้
ฐานการผลิตเลยตกมาอยู่กับประเทศที่กำลังพัฒนาในหลายประเทศของเอเซีย รวมถึงประเทศไทยจนปัจจุบันนี้
ประเทศไทยกลายเป็นผู้ผลิตส่งออกอัญมณีเครื่องประดับรายใหญ่ของโลก
โดยทั่วไปของอุตสาหกรรมผลิตอัญมณีและเครื่องประดับของไทย ปัจจุบันมีผู้ผลิตอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ประมาณ
900 โรงงาน ส่วนใหญ่จะเป็นโรงงานขนาดเล็ก และยังมีการบริหารในระบบครอบครัว
จะมีเพียง 3% เท่านั้นที่เป็นโรงงานขนาดใหญ่และมีการนำการบริหารในรูปของมืออาชีพมาใช้
ซึ่งเห็นได้ชัดว่า อุตสาหกรรมการผลิตสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ ในอนาคตอีก
5 ปี 10 ปี เจ้าของบริษัทในประเทศไทยก็คงต้องดิ้นรนแสวงหาแหล่งที่มีค่าแรงงานต่ำ
เช่นเดียวกับในอดีตของญี่ปุ่นและอเมริกา
อย่างในอินโดจีน หรือแหล่งอื่นๆ ที่มีแรงงานราคาถูกรองรับ เพราะอัตราค่าจ้างแรงงานของไทยเรานับวันก็ขยับตัวสูงขึ้นไปทุกขณะ
แต่ทุกวันนี้ก็ยังคงถือว่าสินค้าไทยยังได้เปรียบในเชิงการผลิตกับอีกหลายๆ ประเทศถึงแม้ว่าอนาคต ค่าแรงงานอาจจะต้องเพิ่มขึ้นมาอีก 7-8% ก็ตาม
ปัญหาที่สำคัญ และเป็นที่หนักใจในขณะนี้เห็นจะเป็นเรื่องของ "ฐานการตลาด"
ซึ่งหมายถึงช่องทางการกระจายสินค้า
เพราะความเป็นจริง นักธุรกิจในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ยังต้องพึ่งผู้นำเข้าต่างประเทศเป็นคนกระจายสินค้า
สู่มือผู้บริโภคเป็นส่วนใหญ่
จะสังเกตเห็นว่าที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการจัดแสดงสินค้า เพื่อดึงดูดผู้นำเข้าจากต่างประเทศให้เข้ามาซื้อสินค้ากลับไปจำหน่ายยังประเทศตน
ปีละหลายๆ ครั้ง มีน้อยรายที่นักธุรกิจไทยจะรุกไปจำหน่ายสินค้าเองโดยตรง
เพราะยังยึดถือธรรมเนียมเก่าๆ ของการค้าสมัยเริ่มแรก
ดังนั้นความจำเป็นที่อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทย จะต้องวิ่งออกไปข้างนอกเพื่อแสวงหาตลาดใหม่ๆ หรือมีกิจกรรมที่เตรียมกระโดดข้ามกำแพง เพื่อดำเนินการค้ากับต่างประเทศในตลาดโลกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในขณะนี้
กลุ่มบริษัทแพรนด้า จิวเวลรี่ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและส่งออกเครื่องประดับอัญมณีรายใหญ่ของไทย
และเป็นผู้นำที่กำลังก้าวสู่ยุคของการค้าในระบบ GLOBALIZATION ด้วยออกไปวางรากฐานการตลาดในต่างประเทศ
โดยเข้าไปร่วมลงทุนกับบริษัทค้าอัญมณีและเครื่องประดับในต่างประเทศ และได้เข้าไปเทคโอเวอร์กิจการเหล่านั้นเพื่อเป็น
"มาร์เก็ตติ้งอาร์ม" ใช้เป็นฐานกระจายสินค้าในเครือบริษัทฯ
แพรนด้า จิวเวลรี่ได้เริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2527 ด้วยทุนจดทะเบียนแรกเริ่ม
25 ล้านบาท โดยปรีดา เตียสุวรรณ์ ในตำแหน่งประธานกรรมการ
ปรีดา เล่าว่า แพรนด้าไม่ใช่ธุรกิจที่เพิ่งเริ่มแต่ได้เริ่มมาเมื่อ 19
ปีที่แล้ว โดยช่วงนั้นไม่ได้จับงานด้านเครื่องประดับหรืออัญมณีเพียงอย่างเดียว
ส่วนใหญ่จะจับงานด้านธุรกิจส่งออกเป็นหลัก แม้แต่อุตสาหกรรมเสื้อผ้าส่งออกก็เคยจับมาก่อน
แต่สำหรับอุตสาหกรรมเสื้อผ้า พอเริ่มต้นก็เห็นปัญหาเสียแล้ว เพราะมีระบบโควต้า
ทำให้เกิดความไม่แน่นอน จึงเริ่มวางมือ หันมาจับธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับอย่างจริงจัง
เพราะมองเห็นอนาคตที่แจ่มใสกว่า
โดยระยะเริ่มต้นเป็นการรับซื้อจากคนอื่นมาก่อน เพราะอยู่ในช่วงหาประสบการณ์
ทำไปได้ระยะหนึ่งเริ่มมองเห็นว่า การจ้างให้คนอื่นเจียระไนหรือทำเครื่องประดับให้
แม้จะซื้อเป็นจำนวนมากเท่าไรก็ตาม เมื่อมาถึงช่วงหนึ่งก็มีโอกาสที่ของจะไม่พอขาย
ปรีดา จึงผลักดันให้เกิดโรงงานขึ้นมา การผลิตด้วยตัวเองจึงทำให้บริษัทสามารถผลิตสินค้าได้ครบวงจรมากขึ้น
จนในปัจจุบันโรงงานแพรนด้าฯ มีกำลังผลิตอัญมณีและเครื่องประดับ ถึง 1.2 ล้านชิ้น/ปี
สินค้าที่ผลิต คือ แหวน ต่างหู เข็มกลัด จี้ สร้อยคอ และสร้อยข้อมือ ภายใต้เครื่องหมายการค้า
"PRANDA" ทำด้วย เงิน ทองคำ หรือทองเหลือง ซึ่งประดับตัวเรือนด้วยเพชรและพลอยต่างๆ 97% จะเป็นการผลิตเครื่องประดับ และอีก 3% เป็นอัญมณี
การผลิตสินค้ามีลักษณะที่เป็นแบบ MASS PRODUCTION ซึ่งเป็นสินค้าในเกรดระดับกลาง
โดยมีตลาดในต่างประเทศที่สำคัญ คือสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย
และแคนาดา
โดยมีตลาดสหรัฐอเมริกา และยุโรปเป็นตลาดหลัก ซึ่งในยุโรปประเทศที่มีการนำเข้าที่สำคัญคือ
เยอรมัน ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี และอังกฤษ ซึ่งถือว่า 5 ประเทศ นี่คือตลาดหลักของการสั่งซื้อของยุโรปทั้งหมด
(หรือคิดเป็น 95%)
ในปี 2534 มีการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอมริกาคิดเป็น 32% และ 55% ในยุโรป
จากการส่งออกทั้งหมดของบริษัทฯ และที่เหลือก็เป็นตลาดญี่ปุ่นบ้าง แคนาดาบ้าง
ฯลฯ
มาในปี 2535 ตลาดสหรัฐอเมริกาได้มีการขยายตัวขึ้นมาเป็น 45% แต่ยุโรปตัวเลขได้ตกลงไปเหลือแค่
40%
โดยมียอดขายรวมในปัจจุบันปี 2535 ประมาณ 1,349 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากในปี
2534 มาประมาณ 300 ล้านบาท
ในปัจจุบันแพรนด้า จิวเวลรี่ ได้เข้าไปร่วมลงทุนในบริษัทต่างๆ มากมาย
(ดูจากตาราง) โดยเข้าถือหุ้นในบริษัทต่างๆ เหล่านั้นตั้งแต่ 10-80% ทั้งที่เป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับการผลิตอัญมณีเครื่องประดับ
และธุรกิจอื่นๆ เช่นการผลิตของขวัญ ผลิตตุ๊กตา สำหรับการส่งออกไปต่างประเทศ
แต่ธุรกิจหลัก ยังคงเป็นการค้าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไปต่างประเทศ
สำหรับการค้าอัญมณีและเครื่องประดับ ในโลกปัจจุบัน ปรีดา กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
ว่าจำเป็นต้องมองแบบ GLOBALIZATION มากขึ้น ซึ่งการค้าในแบบ GLOBALIZATION
นั้น มีการปฏิบัติที่เกิดขึ้นคือ 1 เป็นการเชื่อมโยงฐานทางด้านการผลิต และ
2 เป็นการเชื่อมโยงฐานทางด้านการตลาด
นั้นก็หมายความว่า การค้าจะเป็นการเชื่อมโยงการผลิตและการตลาดทุกภูมิภาคในโลกเข้าด้วยกัน
คำว่า "ตลาด" ก็จะต้องเป็นตลาดโลกไม่ใช่การค้าเพียงประเทศภายในกลุ่ม
แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วแต่ละประเทศพยายามที่จะจัดตั้งกลุ่มการค้าออกมาเป็นกลุ่ม
แต่แรงกดดันของยุคสมัยการค้าเสรี จะเป็นตัวผลักดันให้พรมแดนเหล่านั้นทะลุถึงกันโดยกลไกในตัวมันเอง
ในอดีตการเชื่อมโยงฐานการตลาดมีการทำกันมานานแล้ว ที่เห็นได้ชัดอย่างประเทศญี่ปุ่น
ในช่วงแรกๆ ได้ส่งออกสินค้ามาจำหน่ายในต่างประเทศ ด้วยการจ้างให้เอเย่นต์
เป็นผู้จำหน่ายสินค้าที่ผลิตในญี่ปุ่นให้ก่อน
แล้วในที่สุดเมื่อเห็นช่องทางว่ามีโอกาสดี นักธุรกิจญี่ปุ่นก็เข้าไปเปิดกิจการเอง
ซึ่งทำกันอย่างนี้มานานกว่า 30 ปี จะเห็นว่ามีบริษัทญี่ปุ่นอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งในโลก
แต่สำหรับการเชื่อมโยงฐานการผลิต เพิ่งจะมีการปฏิบัติเกิดขึ้นกันมา ในระยะ
5-6 ปีที่ผ่านมานี่เอง
เพราะฉะนั้นประเทศไทย หากต้องการจะรักษาตำแหน่งในแง่การผลิต ที่ถือว่าเป็นอุตสาหกรรมหลักที่พึ่งพาตลากโลกแล้ว
ต้องพยายามออกไปสู่ระดับอินเตอร์เป็นแบบ "GLOBALIZATION" ให้มากขึ้น
"หากว่าเราผลิตสินค้าแล้วต้องขายผ่านคนอื่น ในอนาคตเราจะไม่มีอำนาจใดๆ ที่จะนำไปต่อรองทั้งสิ้น แม้แต่ข้อมูลเราก็ไม่มี" ปรีดา กล่าวถึงประสบการณ์ที่ตนได้ประสบมา
ด้วยเหตุนี้ปรีดา ประธานกรรมการกลุ่มแพรนด้า จิวเวลรี่จึงตัดสินใจนำธุรกิจของตนออกไปวางฐานการตลาด
โดยเข้าไปซื้อบริษัทอัญมณีทั้งในสหรัฐอเมริกา และยุโรป ด้วยการเล็งการณ์ไกลของการกระจายสินค้าในอนาคต
ที่จะมีบทบาทต่ออุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทย ที่ถือว่าได้เปรียบที่ไทยมีฐานการตลาดที่แข็งแกร่งในปัจจุบัน
แพรนด้า จิวเวลรี่ ได้เข้าไปซื้อกิจการ บริษัท เกรเวย์ เทรดดิ้ง ซึ่งบริษัทนี้เป็นเทรดดิ้ง
คัมปานีอยู่ในมลรัฐ โรด ไอแลนด์ สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นของนายคริสโตเฟอร์
คาเทนซาโร เมื่อประมาณต้นปี 2535
ปรีดา ได้เล่าถึงเบื้องหลังว่า เดิมทางแพรนด้ามีหุ้นอยู่ในเกรเวย์อยู่แล้ว
สาเหตุที่เขาขายให้นั้นไม่ใช่ว่าเขามีปัญหา เพียงแต่ว่าซัพพลายไลน์ อื่นๆ ของเขาลดลง จนแพรนด้ากลายมาเป็นเมเจอร์ซัพพลาย และอีกประการหนึ่งตัวเจ้าของเองอายุก็มากแล้วและลูกหลานก็ไม่สนใจ
จากการทำธุรกิจร่วมกันมานาน แพรนด้าเองก็เป็นผู้สนับสนุนทางด้านการเงินให้ด้วย
โดยการหาเงินมาให้กู้ พอมาถึงจุดหนึ่ง เกรเวย์จึงเสนอขายให้กับแพรนด้า
ปรีดาจึงตัดสินใจซื้อกิจการทันที ซึ่งปรีดาถือว่าเป็นการรวม 2 บริษัทเข้าด้วยกัน
ในลักษณะของการสวอปหุ้นมากกว่า โดยนำหุ้นของทั้ง 2 มาตีราคาเป็นตัวเงิน
"เขาขายเกรเวย์ให้เราประมาณ 1 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 25 ล้านบาทแล้วเขาก็เข้ามาซื้อหุ้นในแพรนด้า
1 ล้านเหรียญสหรัฐเช่นกัน รู้สึกว่าเราตีราคาหุ้นของแพรนด้าในขณะนั้นประมาณ
150 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาตลาดเล็กน้อย" ปรีดา กล่าว
และหลังจากนั้น ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น บริษัท แพรนด้านอร์ทส อเมริกา (PRANDA
NORTH INC.) เพราะไม่จำเป็นต้องอาศัยชื่อแบรนด์หรือที่เรียกกันว่า "กู๊ดวิลล์"
ซึ่งการเข้าไปซื้อกิจการในครั้งนี้ ทำให้การขยายตลาดทั้ง 2 ประเทศมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เพราะการจะตัดสินใจดำเนินการอะไรทำได้สะดวกและรวดเร็วกว่าในอดีตที่ผ่านมา
จะมีผลทำให้แพรนด้า เข้าไปมีส่วนร่วมในด้านการตลาดและการขายสินค้าในตลาดสหรัฐอเมริกาโดยตรง
ซึ่งตลาดอเมริกาถือว่าเป็นตลาดที่สำคัญตลาดหนึ่ง ที่จะมารองรับสินค้าประเภทอัญมณีและเครื่องประดับ
และยังเป็นการปูฐานการตลาด เพื่อเข้าควบคุมช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าได้ดีขึ้น
เพราะเกรเวย์มีเซลส์อยู่ทั่วทั้งอเมริกา ซึ่งเหมือนกับการ "ซื้อมือซื้อแขน"
นอกจากนั้น แพรนด้า จิวเวลรี่ยังได้เข้าไปซื้อกิจการในประเทศฝรั่งเศสอีกด้วย
คือซื้อ HOURDEQUIN GRINGOIRE SARL. ซึ่งเป็นบริษัทค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศส
"ที่ฝรั่งเศส ก็เช่นเดียวกันกับสหรัฐอเมริกา เพราะอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของเขามันฝ่อลง
เราจึงขอซื้อกิจการของเขามาเลย 100% ในราคา 30 ล้านบาท ไม่ได้สวอปหุ้นเหมือนในอเมริกา"
ปรีดา กล่าว
ซึ่งเดิม GRINGOIRE นั้นถือเป็นเหมือนยี่ปั้ว ทำการค้าโดยรับซื้อสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่ผลิตขึ้นในฝรั่งเศสเอง
เป็นการทำธุรกิจภายในประเทศ ขายสินค้าที่วางตำแหน่งในระดับบนมีราคาค่อนข้างสูง
แต่ช่วงหลังสินค้าที่ผลิตขึ้นมาฝรั่งเศส เกิดมีราคาที่สูงขึ้นมาก GRINGOIRE
จึงหันมาทำการค้ากับซัพพลายเออร์ใหม่จากต่างประเทศ โดยเฉพาะแพรนด้า จิวเวลรี่
ความจริงแล้วสินค้าของฝรั่งเศสไม่ได้แพงขึ้นมากมายอะไร แต่เพราะมีสินค้าอย่างของไทยเข้าไปตีตลาด
เขาก็เลยหันมาค้ากับลูกค้าไทยดีกว่า
จนมาในระยะหลังยอดขายของบริษัทนี้ได้ตกลงไปมาก เพราะสาเหตุที่เจ้าของกิจการเริ่มแก่ลง
จึงไม่มีความกระตือรือร้นที่จะทำ เพราะว่าการค้าอัญมณีและเครื่องประดับจำเป็นต้องวิ่งตามแฟชั่นอยู่ตลอดเวลา
เลยทำให้มีรายได้ไม่คุ้มกับค่าใช้จ่าย จนในที่สุด จึงต้องตัดสินใจขายบริษัทให้กับแพรนด้า
ซึ่งเป็นเมเจอร์ซัพพลาย
การเข้าไปของแพรนด้า ในบริษัทนี้ ได้มีการจัดตลาดใหม่ เพราะว่าสินค้าที่ขายอยู่เดิมเป็นสินค้าระดับสูง
ซึ่งต้องวางในตำแหน่งที่สูง แต่เมื่อแพรนด้า มีสินค้าอยู่หลายระดับ จึงได้ขยายบริษัทออกมาตั้งเป็นอีกบริษัทหนึ่ง
เพื่อตอบสนองลูกค้าในระดับล่างลงมาอีก
นอกจากนี้แพรนด้า จิวเวลรี่ยังได้เข้าไปร่วมลงทุนในอีกหลายบริษัท อย่างในอิตาลี
เข้าร่วมทุนกับ SIGNORIA มีสัดส่วนถือหุ้นอยู่ 50% และขณะนี้ได้ไปร่วมลงทุนตั้งบริษัทในประเทศเยอรมันอีก
โดยร่วมทุนกับบริษัท VHP DESIGN SCHMUCK VERTRIEBS GMBH มีสัดส่วนการถือหุ้น
55%
และยังมีในสเปน สวิตเซอร์แลนด์ อีกด้วย…
"ที่ผ่านมาเราเห็นว่า บริษัทญี่ปุ่นเข้ามาเจาะตลาดในยุโรป หรือในประเทศต่างๆ มานาน เมื่อเขามีความสามารถที่จะเจาะไปในตลาดได้… จึงทำให้เกิดอำนาจต่อรองกับรัฐบาลในประเทศนั้นๆ มากขึ้นซึ่งต่างกับบริษัทเรามาก" ปรีดา ยกตัวอย่างแนวคิดของบริษัทญี่ปุ่นถึงการวางแผนเจาะตลาด
ดังนั้นเป้าหมายคือ แพรนด้าต้องการเดินอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่กับบริษัทของญี่ปุ่นให้จงได้
การเข้าไปซื้อกิจการที่ดำเนินงานอยู่แล้ว จะเป็นทางลัดเลาะ ที่ได้ผลมากที่สุดด้วยการอาศัยความได้เปรียบของช่องทางการจัดจำหน่าย
เพราะพนักงานก็คือคนในท้องถิ่น
ความหลากหลายของภาษา ก็คือ อุปสรรคสำคัญ เมื่อมีตัวแทนที่เป็นของบริษัทฯ
เอง แต่เข้าใจในวัฒนธรรมเพราะฉะนั้นการไปร่วมลงทุนกับคนในท้องถิ่น ที่มีความรู้ความชำนาญตลาดของตนเป็นอย่างดี
จึงเท่ากับว่าเป็นการปูพื้นตลาดได้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ผู้ซื้อสินค้ามีความเชื่อมั่นในสินค้า
เชื่อถือในการบริการ เพราะสามารถดูแลลูกค้าได้ใกล้ชิดกว่าและยังช่วยขยายตลาดได้ดียิ่งขึ้น
มาตรฐานสินค้า เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ
หากไม่มีบริษัทที่มาดำเนินการผ่านพิธีการอันนี้แล้ว จะเกิดการล่าช้าของการนำเข้ามาก
แต่ละประเทศจะมีการกำหนดมาตรฐานสินค้าของตนไว้ ตัวอย่างในประเทศฝรั่งเศส
จะมีเจ้าหน้าที่เรียกว่า "เอสเสออฟฟิศ" มาคอยตรวจคุณภาพของการนำเข้าทอง
หรือในอังกฤษ จะเรียกว่า "โกลด์สมิตฮอลล์"
พวกนี้จะจัดตั้งขึ้นมาในลักษณะของมูลนิธิ เป็นผู้ที่คอยตรวจมาตรฐานสินค้า
โดยอาศัยรายได้จากค่าธรรมเนียมมาใช้ในการดำเนินการ
ยกเว้นบางอย่างในสหรัฐอเมริกา เยอรมัน สวิส ที่ถือว่าผู้ซื้อ หรือผู้นำเข้าต้องเป็นผู้พิจารณาเลือกซื้อสินค้าด้วยตัวเอง
ไม่มีการกำหนดมาตรฐานใด เพราะฉะนั้นในบางประเทศการมีบริษัทเป็นของตนเอง จะสามารถอำนวยความสะดวกทำให้พิธีการตรวจทำได้รวดเร็วขึ้น
สำหรับการเข้าไปในสหรัฐอเมริกาของแพรนด้า จิวเวลรี่ พบว่าอุปสรรคสำคัญของการทำธุรกิจที่นั่นคือปัญหาเรื่องภาษีซ้อน
ซึ่งเป็นปัญหาที่แพรนด้ากำลังปวดหัวเป็นอย่างมาก อเมริกากับไทยไม่มีข้อตกลงร่วมกันในเรื่องภาษีซ้อน
ทำให้เราต้องเสียภาษีที่เกิดขึ้นในอเมริกาหรือในประเทศไทยที่จะต้องส่งกลับไปซ้ำซ้อนกัน
"ตอนนี้เรามีกำไรอยู่ 10 ล้านบาทที่เกิดขึ้นในอเมริกา เราไม่สามารถส่งกลับมาประเทศไทยได้เพราะเมื่อไรที่ส่งกลับมา
ก็ต้องเสียภาษีถึง 2 ที่" ปรีดากล่าวกับ "ผู้จัดการ"
ปัญหาเรื่องภาษีซ้อนนั้น จึงทำให้นักธุรกิจที่ทำการค้ากับสหรัฐอเมริกา
จำต้องหาวิธีการ หลบเลี่ยง วิธีหนึ่งที่ผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับนำมาใช้กันคือ
การเจตนาให้มีการถ่ายเทเงินในระบบบัญชี ด้วยการสั่งซื้อสินค้าไปจำหน่ายในราคาที่แพง
หรือที่เรียกกันว่า TRANSFER PRICING ไม่ว่าจะถ่ายจากประเทศไทยสู่อเมริกา
หรือจากอเมริกามาสู่ไทย
ในความเป็นจริงแล้ว นักธุรกิจคงไม่มีผู้ใดจะยอมเสียภาษีซ้ำซ้อนเป็นแน่
สำหรับปัญหาอื่นโดยภาพรวมแล้วการออกไปดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ คือปัญหาทางด้านวัฒนธรรม
ปัญหาการควบคุมไม่ให้ระบบบัญชีรั่วไหลซึ่งต้องเข้าไปควบคุมอย่างใกล้ชิด
ทั้งหมดจึงเป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้ม และวิถีทางของอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาการส่งออก
ซึ่งนับวันการแข่งขันของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยก็จะรุนแรงขึ้น
เป้าหมาย 1 แสนล้านในอนาคตจะมีความเป็นไปได้หรือไม่
ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องมีนโยบายและการกำหนดทิศทางที่ชัดเจน ในระดับประเทศเพื่อที่จะมารองรับกับอุตสาหกรรมหลักที่กำลังจะถูกแย่งชิงฐานการตลาด