ศาลแพ่งตัดสินคดีแบงก์ชาติฟ้องแพ่ง เรียกค่าเสียหาย 1.8 แสนล้านบาท จาก "เริงชัย มะระกานนท์" อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ ตามข้อกล่าวหาละเมิด ทำสวอปค่าเงินบาทจนทุนสำรองประเทศไม่เหลือ ต้นเดือน ก.ค.นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเมื่อวันที่ 4 ก.พ. ศาลแพ่งได้สืบพยานจำเลยปากสุดท้ายในคดีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ และทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ มอบหมายให้พนักงานอัยการฝ่ายคดีแพ่ง 3 เป็นโจทก์ฟ้องนายเริงชัย มะระกานนท์ อดีตผู้ว่าการ ธปท. เป็นจำเลย ฐานละเมิดจากการทำสวอป นำเงินทุนสำรองไปปกป้องค่าเงินบาท เมื่อปี 2540 กระทั่งเกิดความเสียหายจากการขาดทุนเป็นมูลค่า 19,459 ล้านบาท ซึ่ง ธปท.ฟ้องเรียกค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี รวมเป็นเงินกว่า 186,015 ล้านบาท โดยศาลแพ่งได้นัดฟังคำพิพากษาสิ้นเดือน พ.ค.นี้

นายจรุง หนูขวัญ อดีตผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวถึงความคืบหน้าในคดีดังกล่าวว่า ภายในต้นเดือน ก.ค.จะรู้ผลคำตัดสินคดีดังกล่าวแล้ว โดยที่ผ่านมาตนได้ไปขึ้นศาลเป็นพยานตามที่โจทก์และจำเลยตามที่แจ้งมา ซึ่งก็เป็นการให้การเกี่ยวกับการทำงานที่ธปท.ตามปกติ ส่วนคดีที่นายเริงชัย ยื่นฟ้อง ธปท.เรียกค่าเสียหาย 198,400,000 บาทนั้น ไม่ทราบความคืบหน้า โดยเรื่องอยู่ที่ศาลปกครองเป็นผู้พิจารณา

ทั้งนี้ คดีที่นายเริงชัย ยื่นฟ้อง ธปท., ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธปท., ทุนรักษาอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา และนางทัศนี รัชตโพธิ์ อดีตผู้จัดการทุนรักษาระดับฯ เป็นจำเลยที่ 1-4 ตามลำดับ เรื่องละเมิดเรียกค่าเสียหาย 198,400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี และทางฝ่ายจำเลยได้ยื่นคำร้องคัดค้านโต้แย้งว่า คำฟ้องของนายเริงชัยเป็นการฟ้องเกี่ยวกับกรณีเจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจการวินิจฉัยของศาลปกครองกลาง ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณา คดีปกครอง พ.ศ.2542

ก่อนหน้านี้ศาลแพ่งและศาลปกครองได้มีความเห็นพ้องกันแล้วสรุปว่าคดีดังกล่าวอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลปกครองกลาง จึงได้โอนคดีไปยังศาลปกครองเป็นผู้พิจารณาพิพากษา