Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน30 พฤษภาคม 2545
ทางรอดโชห่วยที่ปลายถ้ำ ชี้ควรซบอกแฟรนไชส์นอก             
 


   
search resources

Retail




ที่ปรึกษาสมาคมค้าปลีกไทย ฟันธง ค่านิยมผู้บริโภคคนไทย "เห่อของนอก" มีส่วนปลุกกระแสธุรกิจค้าปลีกข้ามชาติกลืนร้านค้าโชห่วยไทย ชูกรณีศึกษากิจการค้าปลีกรายย่อยในญี่ปุ่น ออสเตรเลีย

"หนีตาย" ด้วยการปรับกลยุทธ์ไปรวมกิจการกับธุรกิจค้าปลีกที่มีเครือข่ายในลักษณะแฟรนไชส์ ระบุถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐจะต้องปัดฝุ่นแก้ไขกฎหมายผังเมือง กทม. จัดโซนนิ่งค้าปลีกข้ามชาติ

ให้กระจายอยู่นอกเมือง นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว ที่ปรึกษาสมาคมค้าปลีก ไทย กล่าวถึง ภาพรวมธุรกิจค้าปลีกไทยเวลานี้ว่า

มีผู้ค้าปลีกจำนวนมากทั้งรายเล็กและรายใหญ่ซึ่งมีการขึ้นทะเบียนไว้กับกระทรวงพาณิชย์กว่า 3 แสนราย โดยในจำนวนนี้คาดว่ามีผู้ค้าปลีกรายเล็กอีกจำนวนมากที่ดำเนินกิจการตามหมู่บ้าน

หรือในแหล่ง ชุมชนตามชนบททั่วประเทศ ขณะที่ผู้ประกอบการค้าปลีกขนาดใหญ่จะดำเนินธุรกิจในเขตเมือง ซึ่งมีการแข่งขันและวางกลยุทธ์เพื่อแย่งชิงลูกค้ากันรุนแรงมาก ทั้งนี้

การดำเนินธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยช่วงที่ผ่านมามีทั้งธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม และ ค้าปลีกแบบใหม่ โดยเฉพาะผู้ประกอบการค้าปลีกต่างชาติได้เข้ามามีอิทธิพลต่อธุรกิจค้าปลีกดั้งเดิม

หรือร้านค้าโชห่วยเป็นอย่างมาก มีการเพิ่มจำนวนสาขาอย่างรวดเร็วขณะที่จำนวนผู้ซื้ออยู่ในปริมาณเท่าเดิมหรือลดน้อยลง ซึ่งเป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่า

ผู้ค้าปลีกรายเดิมจะต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของ ธุรกิจอยู่ตลอดเวลา ซึ่งพัฒนาการของธุรกิจค้าปลีกที่จะเกิดขึ้น ในอนาคตนั้น หลายฝ่ายเห็นว่า กำลังจะก้าวไปสู่ระบบการค้าโดยตรงมากขึ้น

หรือรูปแบบจากธุรกิจบิสซิเนสไปสู่ผู้บริโภคโดยตรง หรือธุรกิจกับธุรกิจ ที่จะมีการซื้อขายโดยตรง โดยธุรกิจค้าปลีกต่างชาติที่ดำเนินกิจการอยู่ในประเทศไทยเวลานี้ประกอบด้วย เทสโก้โลตัส

จากประเทศอังกฤษ คาร์ฟูร์ จากประเทศฝรั่งเศส บิ๊กซี จากประเทศฝรั่งเศส, แม็คโคร จากประเทศเนเธอร์แลนด์, แฟมิลี่มาร์ท จากประเทศญี่ปุ่น, ปั๊มน้ำมัน เจ็ต จิฟฟี่ จากประเทศสหรัฐอเมริกา,

ท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ต จากประเทศ เนเธอร์แลนด์ และฟู้ดไลออนส์ จากประเทศ เบลเยียม "ลักษณะเช่นนี้ผมคิดว่า ธุรกิจค้าปลีกในยุคกระแสโลกาภิวัตน์

จะมีการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าไปเพราะการดำเนินการทั้งหมดขึ้นอยู่กับ เทคโนโลยี และความรู้ความสามารถของแต่ละประเทศ และยอมรับว่า ผู้บริโภคคนไทยอยู่ในประเภท

นิยมของใหม่ที่มาในรูปแบบแปลกแหวกแนว จึงถือเป็นโอกาสของธุรกิจค้าปลีกต่างชาติที่จะรุกคืบเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมากขึ้น" นายสุวิทย์ กล่าว ที่ปรึกษาสมาคมค้าปลีกไทย กล่าวด้วยว่า

ทางสมาคมฯ เคยหารือร่วมกับกระทรวงพาณิชย์เพื่อจัดระบบ โซนนิ่ง ให้ธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ออกไปอยู่นอกเมือง แต่โดยข้อเท็จจริงหากพิจารณาตามบทกำหนดในกฎหมาย ผังเมือง กทม. จะเห็นว่า

กฎหมายผังเมือง มีข้อบัญญัติชัดเจนว่า ธุรกิจการค้าขนาดใหญ่ต้องตั้งอยู่ในเขตเมือง จะตั้งอยู่ในพื้นที่สีเขียวย่านชานเมืองไม่ได้ ซึ่งเป็นหลักการ ที่สวนทางกับระบบผังเมืองในระดับสากล

ซึ่งประเด็นดังกล่าวตนทราบว่า เวลานี้หลายฝ่ายกำลังอยู่ระหว่างเสนอเรื่องให้มีการพิจารณาทบทวนกฎหมายผังเมืองใหม่แล้ว อย่างไรก็ตาม ผลต่อเนื่องจากการแข่งขันของธุรกิจค้าปลีก

ส่วนหนึ่งได้สร้างผลกระทบให้ผู้ค้าปลีกตั้งแต่รายเล็ก รายกลาง หรือรายใหญ่ มีรายได้ลดลง ในช่วงปีที่ผ่านมา ทางสมาคมฯ ได้ร่วมมือกับกรมการค้าภายใน จัดอบรมผู้ค้าปลีกรายย่อย

ซึ่งทำให้รับทราบข้อมูลว่า ผู้ค้าปลีกรายย่อยส่วนใหญ่ล้วนมีปัญหาด้านแหล่งเงินลงทุน ขาดความรู้ความเข้าใจด้านการบริหารการจัดการที่เป็นระบบ

และการทำธุรกิจในรูปแบบที่มีการรวมตัวเพื่อสร้างอำนาจพลังต่อรองและการปรับตัวให้ทันกระแส การเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก "ผมเห็นว่า หากภาครัฐจะเข้าไปช่วยเหลือ

เรื่องเงินทุน ของผู้ประกอบกิจการรายย่อยจะเป็นเรื่องดีมาก ซึ่งต้องดำเนินการควบคู่กับการจัดหา ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจค้าปลีกไปให้คำปรึกษาแนะนำด้วย

โดยในเบื้องต้นรูปแบบดังกล่าวกรมการค้าภายในจะสร้างต้นแบบให้สำเร็จก่อนประมาณ 4-5 สาขา เพื่อเป็นตัวอย่างให้ผู้ค้าปลีกรายอื่นนำไปเป็นแม่แบบปรับปรุงกิจการเสมือนเป็นร้านค้าตัวอย่าง"

นายสุวิทย์ กรณีศึกษาการปรับตัวของธุรกิจค้าปลีกรายย่อยในต่างประเทศจะเห็นว่า ในประเทศออสเตรเลีย

ธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็กมีการรวมตัวกันเพื่อเพิ่มอำนาจการซื้อและการกระจายสินค้าก็สามารถแก้ปัญหาได้ เช่นเดียวกับในประเทศไต้หวันและญี่ปุ่น

ที่กลุ่มผู้ค้าปลีกรายย่อยได้เข้าไปรวมกิจการเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจค้าปลีกในเครือข่ายของ ร้าน เซเว่นอีเลฟเว่นในลักษณะแฟรนไชส์ และเห็นว่า

ถึงเวลาแล้วที่ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกรายย่อยจะร่วมมือกันหาโอกาส หาช่องทางในการปรับปรุงกิจการ เพราะกิจการค้าปลีกรายย่อยในประเทศไทยเวลานี้ยังมีต้นทุนต่ำมาก

มีฐานลูกค้าและทำเลที่ตั้งเหมาะสมอยู่ ซึ่งถือว่ากิจการร้านค้าปลีกรายย่อยของคนไทยยังมีจุดแข็งที่พร้อมจะปรับกลยุทธ์เพื่อต่อสู้กับกิจการของต่างชาติได้แน่นอน "เนวิน"ชี้องค์กรอิสระยังมีปัญหา

ด้านนายเนวิน ชิดชอบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้กระทรวงพาณิชย์แก้ปัญหาผู้ประกอบการค้าปลีกขนาดเล็กของไทย

ที่ได้รับผลกระทบจากร้านค้าปลีกยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศ และเพิ่มความเข้มแข็งของค้าปลีกขนาดเล็กด้วยการจัดตั้งองค์กรอิสระเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของธุรกิจค้าปลีกรายย่อยนั้น

ขณะนี้การจัดตั้งเป็นองค์กรมหาชนจะมีปัญหาเรื่องการบริหารงาน จึงมี 2 แนวทางเลือกในการดำเนินการ โดย 1.จำเป็นต้อง เปลี่ยนองค์กรอิสระเป็นบริษัทจำกัดแทน และ

2.จัดตั้งเป็นองค์กรอิสระเช่นเดิมแล้วให้องค์กรอิสระมาจัดตั้งบริษัทภายหลัง "เบื้องต้นเราได้กำหนดไว้ว่าจะติดต่อให้นักธุรกิจที่มีความรู้ความสามารถจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ

สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมการตลาด เป็นต้นเข้ามาเป็นผู้บริหาร จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นบริษัทจำกัดแทน

หรือให้จัดตั้งองค์กรอิสระเช่นเดิมแล้วให้องค์กรอิสระมาจัดตั้งบริษัทเพื่อดำเนินการเองในภายหลัง แต่แนวทางการดำเนินงานยังคงเดิม" นายเนวินกล่าว ทั้งนี้ ในการจัดตั้งองค์กรมหาชนดังกล่าว

สำนักงานคณะกรรมกฤษฎีกาแนะนำว่า หากจัดตั้งเป็นองค์กรอิสระดำเนินงานเลยจะมีปัญหาเรื่องการบริหารงาน และขัดกับมาตรา 13 แห่งพ.ร.บ.องค์กรมหาชน

ที่ห้ามให้บุคคลที่มีส่วนได้ส่วนเสียในองค์กรเป็นกรรมการบริหาร นายเนวินกล่าวว่า จะเสนอเรื่องดังกล่าวเพื่อขอ ความเห็นชอบต่อนายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในวันที่ 3

มิถุนายน 2545 นี้ หลังจากที่นายอดิศัยกลับจากการประชุมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ที่เม็กซิโก

ก่อนจะนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาเพื่อขอความเห็นชอบและอนุมัติจากครม.ต่อไป อย่างไรก็ตาม เมื่อจัดตั้งเป็นบริษัทเรียบร้อยแล้วจะให้กระทรวงการคลังถือหุ้น 49%

และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ถืออีก 51% โดยใน 3 ปีแรกจะเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหา ผลกำไร และจะแปรรูปโดยขายหุ้นให้เอกชนรายอื่นๆ ได้ภายใน 5 ปี

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us