"บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา"เสี่ยใหญ่เครือสหพัฒน์ จวกกระทรวงพาณิชย์นิ่งเฉยกรณีที่ดิสเคานต์สโตร์เรียกเก็บเงินค่าต๋งจากซัปพลายเออร์โดยไม่มีเหตุผลอันควร
ชี้ควรกำกับและดูแลอย่างจริงจังก่อนที่ซัปพลายเออร์จะถูกบีบ จนทนแบกภาระไม่ไหว
และต้องปรับราคาสินค้าขึ้น สุดท้ายก็จะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคตาดำๆ
ส่วนสภาพตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคปีนี้เดี้ยง! ทั้งตลาดในประเทศและส่งออก
ยอดขายไม่ขยายตัว หนีไม่พ้นพิษสงเศรษฐกิจฝืด นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์
เปิดเผยถึงกรณีที่ร้านค้าปลีกสมัยใหม่หรือโมเดิรน์เทรดประเภทดิสเคาน์สโตร์
เรียกเก็บค่าเอ็นทรานซ์ฟีหรือค่าต๋ง จากซัปพลายเออร์ว่า ไม่มีความเป็นธรรมต่อซัปพลายเออร์
ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ในฐานะดูแลกำกับเรื่องค้าปลีกควรจะเข้ามาดูแลและกำกับบ้าง
ไม่ควรปล่อยให้ดิสเคานต์สโตร์เรียกเก็บเงินจากซัปพลายเออร์มากเกินไป โดยเฉพาะในสิ่งที่ไม่ควรจะเก็บ
เพราะในส่วนนี้ ส่งผลกระทบต่อซัปพลายเออร์โดยตรง ทำให้ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้ ซัปพลายเออร์เกือบทุกรายยังคงทนรับภาระไว้เอง ไม่กล้าขึ้นราคาสินค้า
แต่เชื่อว่าในอนาคต อันใกล้นี้อย่างช้าไม่เกินปลายปีนี้ ซัปพลายเออร์จะต้องขึ้นราคาสินค้า
อย่างแน่นอน และจะส่งกระทบ ต่อผู้บริโภคโดยตรง "ในอดีต
กระทรวงพาณิชย์อาจเห็นว่าการที่โมเดิร์นเทรดเข้ามา ลงทุนในไทยแล้วช่วยให้ประชาชนเลือกซื้อสินค้าได้ในราคาถูกกว่าซื้อ
จากห้างสรรพสินค้า หรือโชห่วย แต่ขณะนี้สถานการณ์ต่างๆ เริ่มเปลี่ยนไป
โมเดิร์นเทรดบีบซัป-พลายเออร์มากเกินไป เรียกเก็บเงิน ต่างๆที่ไม่ควรจะเรียกเก็บ
เช่น หากสินค้าขายดีมาก ก็จะเรียก เก็บเงินมากขึ้น และหากจะลงทุนเปิดสาขาใหม่
ก็เรียกเก็บเงินจากซัปพลายเออร์อีก
ซึ่งเราเห็นว่า เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ เพราะเท่ากับว่า การลงทุนเปิดสาขาใหม่ของโมเดิร์นเทรดใช้เงินจากซัปพลายเออร์ด้วย
และลงทุนเองไม่มากนัก" นายบุณยสิทธิ์ กล่าว
สำหรับสหพัฒน์นั้นถูกเรียกเก็บเงินดังกล่าวไม่มาก เพราะเป็นรายใหญ่ยังพอมีอำนาจต่อรองและเจรจาได้
แต่ซัปพลายเออร์รายเล็กจำเป็นต้องยอมเสียเงิน เพราะหาก
ไม่เสียก็กลัวว่าจะไม่มีพื้นที่ให้วางสินค้า ส่วนเครือสหพัฒน์คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่า
กลุ่มดิสเคาน์สโตร์จะต้องเอาเปรียบซัปพลายเออร์
จึงได้เตรียมรับมือไว้ตั้งแต่แรกด้วยการกระจายจุดขายให้ครอบคลุมทุกช่องทาง
ไม่ให้ความสำคัญกับช่องทางใดช่องทางหนึ่งมากเกินไป โดยเฉพาะในกลุ่มดิสเคาน์สโตร์
เพราะรู้ว่าจะมีปัญหา
และหากโดนเรียกเก็บเงินก็จะไม่จ่าย เพราะมช่องทางจำหน่ายสินค้าอื่นๆอีก
ด้านนายบุญเกียรติ โชควัฒนา กรรมการอำนวยการ บริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล
จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า
สินค้าในเครือไอ.ซี.ซี.ฯ ไม่โดนเรียกเก็บเงินจากดิสเคาน์สโตร์ เพราะก่อนที่จะเข้าไปวางสินค้าได้ทำสัญญาไว้เรียบร้อย
และที่สำคัญบริษัทเป็นรายใหญ่
สินค้าของเครือฯเป็นที่รู้จักและยอมรับในกลุ่มผู้บริโภคจำนวนมาก และเป็นที่ต้องการของดิสเคาน์สโตร์
ทางดิสเคาน์สโตร์จึงยังไม่กล้าเรียกเก็บเงินในช่วงนี้ แต่เชื่อว่า
ในอนาคตดิสเคาน์สโตร์จะต้องเรียกเก็บเงินอย่างแน่นอน แต่บริษัทก็ยืนยันว่าจะไม่จ่ายหากเห็นว่าไม่มีเหตุผลที่สมควร
ตลาดในประเทศและส่งออกเดี้ยง นายบุณยสิทธิ์ ได้กล่าวถึงสภาพตลาด
ในปัจจุบันว่า ตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศไม่ค่อยดี โดยตลาดในประเทศอยู่ในภาวะทรงตัว
ไม่มีอัตราเติบโต แม้ว่าผู้บริโภค จะมีกำลังซื้อก็ตาม ส่วนใหญ่จะระมัดระวังการใช้จ่ายมากกว่าในอดีต
เนื่องจากไม่มีความมั่นใจในภาวะเศรษฐกิจว่าจะฟื้นตัวอย่างชัดเจนเมื่อไหร่
และที่สำคัญขาดความเชื่อมั่นในรัฐบาล แต่หลังจากที่มีการอภิปรายความเชื่อมั่นในรัฐบาลของประชาชนอาจจะมีเพิ่มขึ้น
จึงคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังตลาดโดยรวมน่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะหากรัฐบาลสามารถสร้างเสถียรภาพและเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้
"ภาวะเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะทรงตัวนั้น
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะประชาชนขาดความเชื่อมั่นในรัฐบาล ซึ่งชาวต่างชาติยังมีความมั่นใจในภาวะเศรษฐกิจมากกว่าคนไทยเสียอีก
เห็น ได้จากการที่ได้พูดคุยกับนักลงทุนชาวญี่ปุ่น
นักลงทุนข้ามชาติจะมีความมั่นใจในเสถียรภาพของรัฐบาลไทยมากกว่าคนไทย และที่สำคัญเชื่อมั่นในรัฐบาลไทยมากกว่ารัฐบาลของญี่ปุ่นเสียอีก"
สำหรับตลาดส่งออกนั้น ก็ไม่ขยายตัว เช่นเดียวกัน
เพราะภาวะเศรษฐกิจโลกไม่ดี อยู่ในภาวะชะงักงัน จึงทำให้การส่งออกประสบปัญหา
ในส่วนของสหพัฒน์ก็ไม่มีการขยายตัวเช่นเดียวกับสภาพตลาดโดยรวม แต่บริษัทก็แก้ปัญหาด้วยการจัดงานสหกรุ๊ป
เอ็กซ์ปอร์ต แอนด์ เทรด เอ็กซิบิชั่นขึ้น ซึ่งครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่
6 โดยการจัดงานเป็นการแสดงสินค้า
ของเครือสหพัฒน์ให้ผู้บริโภคชาวไทยและนักลงทุนต่างชาติเห็นถึงความสามารถในการผลิตของผู้ประกอบการชาวไทย
ปีนี้ตั้งเป้าโตแค่ 1-3% ในส่วนสหพัฒน์ปีนี้ ไม่ได้คาดหวังยอดขาย เติบโตขึ้นมากนัก
คาดว่ายอดขายจะเติบโตเพียง 1-3% เท่านั้น จากที่ปีก่อนมียอดขายเติบโตขึ้นถึง
10% จากปี 2543 หรือมียอดขายประมาณ 80,000 ล้านบาท เนื่องจากตลาดซบเซา จึงไม่ได้ตั้งเป้ายอดขายเติบโตมาก
แต่จะเน้นการพัฒนาคุณภาพสินค้า รวมถึงการเปิดทางหาพันธมิตร เช่น ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อร่วมลงทุนกับพันธมิตรในธุรกิจสิ่งทอ
แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
เพราะอยู่ระหว่างการเจรจา "การที่บริษัทสนใจร่วมลงทุนในธุรกิจสิ่งทอ
ไม่ได้หมายความว่าธุรกิจนี้มีแนวโน้มดี แต่ที่สนใจร่วมทุนเพราะต้องการนำผลผลิตของธุรกิจนี้
มาสนับสนุนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับในเครือ" นายบุณยสิทธิ์ กล่าวถึงงานสหกรุ๊ป
เอ็กซ์ปอร์ต แอนด์ เทรด เอ็กซิบิชั่น ครั้งที่ 6 ว่า เครือสหพัฒน์นำสินค้าร่วมงานแสดงสินค้า
12 ประเภท ได้แก่ เครื่องสำอาง
เครื่องหนัง สิ่งทอ รองเท้า เครื่องใช้ภายในบ้าน เสื้อผ้า อาหารและเครื่องดื่ม
เครื่องใช้ไฟฟ้า และ เครื่องกีฬา เป็นต้น ซึ่งจะมีงานในวันที่ 28-29 มิถุนายนนี้
ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ มีพื้นที่จัดงาน 2
ส่วน คือ ส่วนแรกเป็นการแสดง สินค้า และนิทรรศการ และส่วนที่สองเป็นการจำหน่ายสินค้าที่โซนซี
การจัดงานครั้งนี้ บริษัทต้องการให้นักลงทุนต่างชาติ
และผู้บริโภคชาวไทยเห็นถึงคุณภาพและนวัตกรรมใหม่ๆ ของสินค้าที่เครือสหพัฒน์สามารถผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก
เพราะสินค้าในเครือหลายชนิดมีการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ คิดเป็นสัดส่วน
20-30% ของกำลังการผลิตรวมทั้งหมด