หลังจากได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังเมื่อวันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา บง.เกียรตินาคินกำลังเร่งพัฒนาระบบและปรับปรุงสำนักงานที่มีอยู่ เพื่อให้สามารถทำหน้าที่ในฐานะธนาคารพาณิชย์แห่งใหม่ได้โดยเร็ว
ในช่วงเดือนตุลาคมนี้หากไม่เกิดเหตุการณ์เหนือความคาดหมาย ธนาคารเกียรตินาคินจะเริ่มเปิดให้บริการเป็นธนาคารพาณิชย์แห่งล่าสุดของไทย และน่าจะเป็นธนาคารที่มีขนาดเล็กที่สุดแห่งหนึ่งด้วย โดยเมื่อพิจารณาจากยอดสินเชื่อคงค้างของธนาคารพาณิชย์ไทยทั้งระบบ ณ วันที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมา จำนวน 4.7 ล้านล้านบาท ยอดสินเชื่อของเกียรตินาคินที่มีอยู่ 47.7 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเพียง 1% ของระบบเท่านั้น
ขนาดที่เล็กกว่าทำให้เกียรตินาคินต้องกำหนดโพสิชั่นนิ่งของตนเองแตกต่างจากธนาคารพาณิชย์แห่งอื่นที่ส่วนใหญ่จะมุ่งไปสู่บริการ Universal Banking ที่ครอบคลุมธุรกรรมทางการเงินครบวงจรและจับกลุ่มลูกค้าตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ แต่เกียรตินาคินกลับจะเน้นไปในกลุ่มตลาดเฉพาะที่มีความชำนาญและมีฐานลูกค้าเดิมอยู่ก่อนแล้ว
ตลาดที่เกียรตินาคินจะเน้นในช่วง 3 ปีแรกของการดำเนินงานประกอบด้วยสินเชื่อเพื่อการอุปโภค/บริโภคได้แก่ สินเชื่อ เช่าซื้อรถและสินเชื่อบุคคล ส่วนสินเชื่อธุรกิจจะเน้นไปในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจขนส่ง สิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ รวมทั้งกลุ่มผู้ค้ารถยนต์ นอกจากนี้ยังมีธุรกิจหลักทรัพย์ที่จะดำเนินการผ่าน บล.เกียรตินาคินอีกด้วย
ผู้บริหารตั้งเป้าว่ายอดสินเชื่อของเกียรตินาคินจะเพิ่มขึ้นในอัตราปีละ 20-25% โดยจะเพิ่มจาก 47.7 พันล้านบาท ปัจจุบันขึ้นเป็น 90 พันล้านบาท ในปี 2550 และสัดส่วนสินเชื่อจะเปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบันที่มีสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ โครงการที่อยู่อาศัยและสินเชื่อ ปรส./สินเชื่อธุรกิจในสัดส่วน 38%, 28% และ 34% ตามลำดับ ไปเน้นที่สินเชื่อรถยนต์มากขึ้นในสัดส่วนถึง 56% ส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยจะลดลงเหลือ 24% และสินเชื่อ ปรส./สินเชื่อธุรกิจจะลดเหลือ 20%
การตั้งเป้าที่จะขยายสินเชื่อเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในช่วง 3 ปีดังกล่าว ทำให้เกียรตินาคินต้องระดมเงินฝากเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน โดยเกียรตินาคินจะมุ่งการระดมทุนที่เป็นระยะยาว เพื่อลดความเสี่ยงด้านความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยและกระจายฐานเงินฝากให้มากขึ้นเพื่อรองรับการจัดตั้งสถาบันประกันเงินฝากในอนาคต นอกจากนี้ยังจะเน้นกลุ่มลูกค้าที่มีฐานเงินฝากบัญชีละ 1 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นฐานลูกค้าของเกียรตินาคินอยู่แล้ว
ธวัชไชย สุทธิกิจไพศาล ประธานสายงานสินเชื่อ มั่นใจว่าการระดมเงินฝากของเกียรตินาคินน่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เนื่องจากการปรับสถานะเป็นธนาคารพาณิชย์จะช่วยให้ภาพลักษณ์ขององค์กรด้านความมั่นคงในสายตาของผู้ฝากเงินมีมากขึ้น ส่วนกลยุทธ์อีกประการหนึ่งที่เกียรตินาคินจะนำมาใช้ในการดึงดูดเงินฝาก คือการให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่าธนาคารแห่งอื่น ซึ่งจะไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงาน เนื่องจากเกียรตินาคินมีต้นทุนสาขาน้อยกว่าธนาคารอื่นจากการที่มีเพียง 15 สาขาเท่านั้น
อีกปัจจัยหนึ่งที่จะเป็นตัวกระตุ้นการระดมเงินฝากของเกียรตินาคินก็คือสถาบันประกันเงินฝากที่กำลังจะตั้งขึ้นในอีกไม่นานนี้ เนื่องจากข้อกำหนดที่จะคุ้มครองเงินฝากบัญชีละ 1 ล้านบาท จะทำให้ผู้มีเงินฝากต้องกระจายเงินออกเป็นหลายบัญชีในหลายธนาคาร ซึ่งจะช่วยให้ธนาคารขนาดเล็กสามารถดึงยอดเงินฝากมาจากธนาคารขนาดใหญ่ได้
ปัจจุบันธุรกิจในกลุ่มเกียรตินาคินประกอบด้วย บง.เกียรตินาคิน บง.รัตนทุน บล.เกียรตินาคิน และกองทุนที่ได้จากการประมูลทรัพย์สินมาบริหารจำนวน 6 กองทุน มูลค่ารวม 10.8 พันล้านบาท ในปีที่ผ่านมา บง.เกียรตินาคินมีรายได้รวม 6,049 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิ 2,208 ล้านบาท และมีกำไรหุ้นละ 4.77 บาท เทียบกับในปี 2546 ซึ่งมีรายได้รวม 6,340 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,065 ล้านบาทและกำไรหุ้นละ 5.74 บาท โดยสินเชื่อเช่าซื้อมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น 129% มียอดคงค้าง 18,097 ล้านบาท ส่วนสินเชื่อโครงการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 64% มียอดคงค้างจำนวน 13,326 ล้านบาท
สำหรับในปีนี้เกียรตินาคินตั้งเป้าขยายสินทรัพย์จำนวน 80,000 ล้านบาท โดยเน้นการขยายสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อบุคคลเพื่อให้มีการกระจายสินเชื่อที่สมดุล ทั้งนี้สินเชื่อเช่าซื้ออาจมีการชะลอตัวจากปัจจัยลบต่างๆ อาทิ ราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นและภาวะภัยแล้งที่จะส่งผลต่อลูกค้าในกลุ่มเกษตรกรที่เป็นฐานลูกค้าสำคัญในตลาดรถปิกอัพ
|