|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ พฤษภาคม 2548
|
|
การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของนักลงทุนรายย่อย บ่อยครั้งจะเป็นไปตามกระแสที่เกิดขึ้น จังหวะในการลงทุนอาจไม่เหมาะสมทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับไม่สม่ำเสมอ การศึกษาหลักการของนักลงทุนสถาบัน อาจช่วยให้เห็นโอกาสของการลงทุนได้ชัดเจนขึ้น
ในช่วงปัจจุบันที่ภาวะตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจน ปัจจัยต่างๆ ที่มากระทบต่อการลงทุนในช่วงนี้ก็เป็นปัจจัยลบเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นหรือแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อาจจะปรับเพิ่มขึ้นในเร็ววันนี้ นักลงทุนอาจยังไม่แน่ใจว่า จะลงทุนอย่างไรดี การศึกษาแนวทางการลงทุนของนักลงทุนสถาบัน โดยเฉพาะกองทุนรวมอาจช่วยให้เห็นแนวทางหรือโอกาสในการลงทุนที่ชัดเจนขึ้น
บลจ.ธนชาติ หรือ NASSET หนึ่งในบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของวงการกองทุนรวมเมื่อ 13 ปีก่อนและล่าสุดเพิ่งได้รับ 2 รางวัล การบริหารกองทุนจากโพสต์ลิปเปอร์ จากผลงานปี 2547 ที่ผ่านมา ได้แก่ Best Overall Group over Three Years และ Best Bond Group over Three Years แม้จะได้มาเพียง 2 รางวัล แต่หนึ่งในนั้นก็เป็นรางวัลใหญ่ที่สุด ซึ่งสร้างความภูมิใจให้กับ ม.ล.ผกาแก้ว บุญเลี้ยงกรรมการผู้อำนวยการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รวมทั้งทีมงานของ บลจ.ธนชาติ เป็นอย่างมาก
แนวทางการบริหารกองทุนของธนชาติจะให้ความสำคัญกับทีมเวิร์ก โดยผู้จัดการกองทุนที่มีอยู่ 11 คนจะร่วมให้ความคิดเห็นต่อแนวโน้มการลงทุน ทั้งในภาพใหญ่ในด้านแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศ อัตราดอกเบี้ย แนวโน้มราคาน้ำมัน และในสเกลที่เล็กลงซึ่งได้แก่ข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อนำมากำหนดแนวทางการลงทุน แต่สิ่งที่สำคัญคือการตัดสินใจในการลงทุนล่วงหน้าก่อนที่เหตุการณ์ต่างๆ จะเกิดขึ้น เพื่อปรับการลงทุนให้ได้รับผลประโยชน์หรือลดผลกระทบจากแนวโน้มของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นให้มากที่สุด
"การตัดสินใจของนักลงทุนทั่วไปเป็นการตัดสินใจจากเหตุการณ์ปัจจุบัน แต่ผู้จัดการกองทุนจะตัดสินใจไปข้างหน้า เขาคิดไว้ก่อนว่าถ้าสถานการณ์อย่างนี้ดอกเบี้ยจะขึ้นหรือลง น้ำมันที่ขึ้นจะขึ้นไปถึงไหน เขาจะคิดไว้ก่อนว่าถ้าดอกเบี้ยขึ้น น้ำมันขึ้น เซกเตอร์ไหนจะกระทบ การคิดไปข้างหน้าจะทำให้เราวางแผนการลงทุนได้ก่อน" ม.ล.ผกาแก้วกล่าวกับ "ผู้จัดการ"
สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุนในขณะนี้ธนชาติมองว่า นอกจากราคาน้ำมันและแนวโน้มการปรับอัตราดอกเบี้ยแล้ว เงินเฟ้อก็ยังเป็นปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่งซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงได้และจะส่งผลกระทบโดยตรงกับการบริโภคของประชาชน รวมทั้งภาวะภัยแล้งที่เกิดขึ้นก็ส่งผลกระทบเช่นกันและปัจจุบันเริ่มเห็นผลบ้างแล้วจากสินค้าบางประเภทที่มีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นเกษตรกรเริ่มมียอดขายลดลง
จากปัจจัยดังกล่าวนี้เองธนชาติให้ความสนใจในการลงทุนไปในหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค อาทิ ไฟฟ้าและพลังงาน เนื่องจากจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ น้อยมาก อีกทั้งกระแสเงินสดที่ได้รับยังมีความแน่นอนสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังมีบริษัทในภาคการผลิต (real sector) เช่น ปูนซีเมนต์ ปิโตรเคมี ที่ธุรกิจยังมีแนวโน้มไปได้ดี ขณะที่กลุ่มที่หลีกเลี่ยงหรือต้องพิจารณาให้มากขึ้นได้แก่ บริษัทที่ผลิตสินค้าหรือบริการเพื่อการบริโภคที่ไม่มีความจำเป็น โดยเฉพาะถ้าเป็นสินค้าที่มีการแข่งขันสูงและมีมาร์จินต่ำ เมื่อต้นทุนสูงขึ้นก็อาจมีผลกระทบกับฐานะการเงินได้
ปัจจุบันธุรกิจการจัดการกองทุนรวมมีมูลค่ารวมทั้งระบบ (ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2547) 1.1 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 20% ของยอดเงินฝากทั้งระบบที่มีถึง 5.497 ล้านล้านบาท ขณะที่กองทุนรวมที่เสนอขายต่อผู้ลงทุนทั่วไปมีมูลค่า 4.85 แสนล้านบาทหรือ 8.83% ของยอดเงินฝาก ทั้งระบบ
ในจำนวนนี้มีกองทุนที่ บลจ.ธนชาติ บริหารอยู่รวมทั้งสิ้น 45 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (ณ วันที่ 25 มีนาคม 2548) เท่ากับ 28,617 ล้านบาท แบ่งเป็นกองทุนเปิด 30 กองทุน มูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวม 18,838.64 ล้านบาท กองทุนปิด 6 กองทุน มูลค่า 4,394.28 ล้านบาท และกองทุนเปิดที่เสนอขายครั้งเดียว 9 กองทุน มูลค่ารวม 5,385.03 ล้านบาท
ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา ธนชาติออกกองทุนจำนวน 5 กองทุน รวมมูลค่าการระดมทุน 3,019.47 ล้านบาท โดยทั้งหมดล้วนเป็นกองทุนตราสารหนี้ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะทิศทางในตลาดหุ้นยังไม่ชัดเจน จังหวะของกองทุนหุ้นจึงยังไม่เหมาะสม ประกอบกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยอาจปรับสูงขึ้น ทำให้การลงทุนต้องเลือกลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อลดความเสี่ยงจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ย
สำหรับการออกกองทุนใหม่ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ธนชาติจะเน้นไปที่ customized fund ที่มีมูลค่าไม่สูงมากและมีกำหนดอายุกองทุนแน่นอน ลงทุนใน fixed portfolio เจาะขายตรงให้กับผู้ลงทุนรายใหญ่ที่พร้อมลงทุนระยะปานกลางและระยะยาว โดยการออกกองทุนประเภทนี้จะเลือกออกในจังหวะที่มีโอกาสการลงทุนที่เหมาะสม
ส่วนการออกกองทุนใหม่ที่นอกเหนือไปจาก customized fund จะยังไม่มีในปีนี้ เนื่องจากธนชาติเห็นว่ากองทุนที่มีอยู่ในปัจจุบันครอบคลุมนโยบายการลงทุนทั้งหมดแล้ว สามารถรองรับความต้องการของผู้ลงทุนได้อย่างครบถ้วน จึงไม่มีความจำเป็นที่จะออกกองทุนใหม่เพิ่มขึ้นอีก
|
|
|
|
|