หลังจากเริ่มให้บริการ Verified by Visa ในไทยมาได้ 2 ปี Visa ได้ร่วมมือกับธนาคารเอเชียขยายบริการดังกล่าวไปสู่การชำระเงินทางโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อกระตุ้นให้เกิดการชำระเงินค่าสินค้าและบริการจากอี-คอมเมิร์ซผ่านระบบของ Visa ให้มากยิ่งขึ้น

หากคุณเคยต้องการจะซื้อสินค้าหรือบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ต แต่ต้องล้มเลิกความคิดไปทุกครั้งเพราะยังไม่มั่นใจในระบบการชำระเงินทางอินเทอร์เน็ตด้วยบัตรเครดิต ไม่ต้องแปลกใจกับความคิดเช่นนี้ เพราะยังมีคนอีกมากที่ไม่กล้าเสี่ยงเช่นเดียวกัน

ถึงแม้ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซจะมีแนวโน้มการขยายตัวสูงขึ้น แต่อุปสรรคสำคัญที่บล็อกไม่ให้การขยายตัวเป็นไปอย่างรวดเร็วก็คือ ผู้บริโภคยังไม่นิยมที่จะใช้บัตรเครดิตหรือเดบิตในการชำระค่าสินค้าหรือบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ตเหมือนเช่นการซื้อสินค้าตามร้านค้าทั่วไป เนื่องจากความกังวลในเรื่องความปลอดภัยของการใช้บัตร Visa ซึ่งเป็นผู้ให้บริการระบบชำระเงินรายใหญ่มองเห็นจุดอ่อนดังกล่าวจึงได้ริเริ่มนำบริการ Verified by Visa มาใช้เพื่อเสริมความมั่นใจให้กับผู้ถือบัตรของ Visa

จากข้อมูลของ Visa ระบุว่าปัจจุบัน มีผู้ถือบัตร Visa กว่า 350 ล้านคน ได้ลงทะเบียนใช้บริการ Verified by Visa และ มีผู้ใช้บริการแล้วราว 16 ล้านคน โดยตลาดใหญ่ที่สุดอยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งมีผู้ใช้บริการถึง 11.5 ล้านคน จากยอดผู้ลงทะเบียน 51 ล้านคน และมีสหรัฐอเมริกาเป็นภูมิภาคที่มีผู้ใช้รองลงไปด้วยจำนวน 4 ล้านคน จากจำนวนผู้ลงทะเบียน 288 ล้านคน

สำหรับในประเทศไทยเริ่มให้บริการ Verified by Visa มาตั้งแต่ปี 2546 ปัจจุบันมีธนาคารออกบัตร 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคาร เอเชีย ไทยพาณิชย์ กสิกรไทย เคทีซี และ เอชเอสบีซี และธนาคารร้านค้า 5 แห่งคือ ธนาคารเอเชีย ไทยพาณิชย์ กสิกรไทย กรุงศรีอยุธยา และธนาคารกรุงเทพ มีผู้ถือบัตรลงทะเบียนแล้ว 1.2 ล้านราย จากยอดผู้ถือบัตร Visa เกือบ 5 ล้านราย และในจำนวนผู้ลงทะเบียนมีผู้ใช้บริการแล้วกว่า 20% และมีร้านค้าที่เข้าร่วมระบบกว่า 600 ร้านค้า

ถึงแม้การใช้บริการชำระเงินในธุรกรรมอี-คอมเมิร์ซผ่านทางบริการ Verified by Visa จะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น แต่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้พัฒนาให้เกิดช่องทางสำหรับการชำระเงินแบบใหม่เกิดขึ้น ด้วยการชำระเงินผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งจาก การประเมินของบริษัทที่ปรึกษาต่างประเทศ คาดว่าการชำระเงินค่าบริการรายเดือนจะเติบโตเพิ่มขึ้นจาก 3.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2544 ขึ้นเป็น 5.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2553 และในปี 2550 จะ มีผู้ใช้งานระบบ wireless prepaid จำนวน 600 ล้านคน สร้างรายได้ราว 160 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยที่โทรศัพท์เคลื่อนที่จะทำหน้าที่เป็นเสมือนจุดขายและรับชำระเงิน

ด้วยเหตุนี้ Visa จึงได้พัฒนาให้บริการ Verified by Visa สามารถใช้ร่วมกับการชำระเงินผ่านทางโทรศัพท์มือถือได้ด้วย โดยในเอเชียได้เริ่มเปิดให้บริการแล้วที่เกาหลีใต้และฮ่องกง

สำหรับในประเทศไทย Visa ได้ร่วมกับธนาคารเอเชียเปิดให้บริการ Asia M-Pay ซึ่งเป็นบริการชำระเงินด้วยโทรศัพท์เคลื่อนที่ผ่านทางระบบ Verified by Visa เป็นรายแรกของไทย ซึ่งผู้ใช้บัตรเครดิต Visa และบัตรเดบิต Visa Electron ของธนาคารเอเชียที่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบเอไอเอสและดีแทคสามารถใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในการชำระเงินให้กับร้านค้าที่ร่วมรายการได้ผ่านทางระบบ SMS การชำระค่าบริการรายเดือนและบริการคอลเซ็นเตอร์ต่างๆ เช่น การชำระค่าบริการรายเดือนพร้อมระบบเตือนล่วงหน้า การซื้อชั่วโมงอินเทอร์เน็ต การซื้อเกมออนไลน์ การเติมเงินโทรศัพท์เคลื่อนที่และการซื้อตั๋วต่างๆ

โดยร้านค้าที่เข้าร่วมบริการนี้แล้วได้แก่ ดีแทค ThaiTicketMaster.com Tohome.com ซีเอส ล็อกซอินโฟ และไอเน็ต เป็นต้น ทั้งนี้ ธนาคารเอเชียตั้งเป้า เพิ่มจำนวนร้านค้าที่เข้าร่วมบริการดังกล่าว ให้มากกว่า 50 ร้านค้าภายในสิ้นปีนี้

ในการขอใช้บริการดังกล่าวผู้ถือบัตร Visa และ Visa Electron ของธนาคารเอเชียสามารถลงทะเบียนใช้บริการ Verified by Visa พร้อมสมัครใช้ Asia M-Pay ได้ที่เว็บไซต์ของธนาคารเอเชียโดยไม่เสียค่าใช้ จ่าย ส่วนการใช้งานจะเสียค่าบริการเฉพาะ ในส่วนของ SMS ที่ใช้เพื่อยืนยันการชำระเงินในอัตราไม่เกิน 7 บาทต่อข้อความ

อภิรมย์ น้อยอ่ำ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงาน Institutional Transaction Banking ธนาคารเอเชียเล่าว่าปัจจุบันยอดผู้ใช้บริการ Verified by Visa ของธนาคาร มีอยู่ราว 100,000 ราย ในเบื้องต้นคาดว่าในจำนวนนี้จะสมัครใช้ Asia M-Pay ราว 10% โดยยอดการทำธุรกรรมอี-คอมเมิร์ซผ่านระบบของธนาคารในปีที่ผ่านมามีมูลค่า 5,000 ล้านบาทสร้างรายได้ให้ธนาคารราว 130 ล้านบาทและคาดว่าในปีนี้ยอดธุรกรรมอี-คอมเมิร์ซ ผ่านธนาคารจะเพิ่มขึ้นอีก 40-50%