บรรดาคนไข้และญาติผู้ป่วย คงพากันแปลกใจไปตามๆ กัน ที่ค่ำวันหนึ่ง ณ ห้องโถงรับรองชั้นล่างของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้ตกแต่งสถานที่ด้วยดอกไม้สีเขียวขาวอย่างสวยงาม นายแพทย์, พยาบาล ในชุดเสื้อกาวน์เดินขวักไขว่ไปมา และมีเสียงดนตรีกระหน่ำก้อง

บนเวทีเล็กๆ มีทั้งนางแบบนายแบบมืออาชีพ และคุณหมอ พยาบาลสมัครเล่นที่สลัดเสื้อคลุมมาเดินวางมาดเก๋ไก๋ เรียกเสียงหัวเราะและเสียงปรบมือลั่นห้อง โดยมีชัย โสภณพนิช ประธานกรรมการโรงพยาบาล พร้อมด้วย มร.เคอร์ติส เจ ชโรเดอร์ ผู้อำนวยการด้านบริหารกลุ่มภูมิภาคของโรงพยาบาล และผู้บริหารระดับสูงหลายคนนั่งอยู่ด้านหน้าเวที

เป็นงานประกาศภาพลักษณ์ใหม่ของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เพื่อตอกย้ำแบรนด์กับสื่อมวลชน และคนทั่วไปอย่างที่ไม่ค่อยเห็นกันบ่อยนักในธุรกิจโรงพยาบาล

การเปลี่ยนชื่อ "โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์" เป็น "บำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล" และตราสัญลักษณ์ใหม่ที่ยังคงเป็น "งูสองตัวพันไม้เท้า" แต่ตัดปีก 2 ข้างและตัวอักษร "B" และ "H" ออกไป กลายเป็นรูปวงกลมอันเป็นตัวแทนของลูกโลกได้สะท้อนไปยังวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่จะเดินหน้าต่อไปในการให้บริการทางด้านสุขภาพของคนทั่วโลก

"การคงชื่อบำรุงราษฎร์ไว้ แสดงให้เห็นว่าเรายังให้ความสำคัญกับมรดกไทยและวิสัยทัศน์การก่อตั้ง นั่นคือการบริการชุมชน ส่วนการรวมคำว่า อินเตอร์เนชั่นแนลเข้ามานั้น เนื่องจากชุมชนเราได้เติบโตขึ้นและครอบคลุมถึงระดับโลกแล้ว" ชัย โสภณพนิช กล่าวย้ำรวมทั้งพยายามพัฒนาตนเองในเรื่องบริการด้านการรักษาพยาบาล การสอน และการทำวิจัย

การตัดสินใจเปลี่ยนภาพลักษณ์ของโรงพยาบาลมีที่มาจากการเติบโตอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ที่ผ่านมาบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนลไม่มีสาขาทั้งในและต่างประเทศ แต่ได้ใช้ Network Know-how เข้าไปรับจ้างบริหารจัดการและวางระบบข้อมูลสารสนเทศ และโปรแกรมซอฟต์แวร์ให้โรงพยาบาลหลายแห่งแทน

ในปี 2546 ได้เข้าไปบริหารโรงพยาบาลในประเทศพม่าและบังกลาเทศ ส่วนปีนี้ได้เข้าไปซื้อหุ้นและบริหารโรงพยาบาลเอเชียน ในประเทศฟิลิปปินส์ รวมทั้งเป็นครั้งแรกเช่นกันที่ได้เข้าไปลงทุนสร้างโรงพยาบาลเองในเมืองดูไบ โดยได้ร่วมถือหุ้น 49 เปอร์เซ็นต์ กับอีสทิทมาร์ บริษัทในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กำหนดเงินร่วมลงทุนไว้ประมาณ 9.7 ล้านเหรียญสหรัฐ มีขนาด 250 เตียง และเป็นส่วนหนึ่งของคอมเพล็กซ์ใหญ่ของเมือง โดยเริ่มก่อสร้างภายในปี 2548 กำหนดแล้วเสร็จในปี 2550

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์อินเตอร์เนชั่นแนล ได้ให้ความสำคัญในเรื่องภาพลักษณ์มาตลอดเวลา 25 ปีเต็มๆ พร้อมๆ กับการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยทั้งในและต่างประเทศ ในปีที่ผ่านมามีคนไข้ทั้งหมด 1,014,104 คน เป็นผู้ป่วยต่างชาติสูงถึง 365,386 คน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง