|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ พฤษภาคม 2548
|
|
ลานกิจกรรมริมแม่น้ำเจ้าพระยาเชิงสะพานพระราม 9 บริเวณด้านล่างธนาคารกสิกรไทย สำนักงานใหญ่ ช่วงเย็นวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา ได้ถูกจัดให้มีบรรยากาศเป็นงานรื่นเริงแบบไทยขนาดย่อมๆ ที่มีทั้งวงดนตรี ชิงช้าสวรรค์ และซุ้มของกินแบบไทย อาทิ ข้าวโพดคั่ว สายไหม ยาดอง ขนมน้ำตาลปั้น และซุ้มกาแฟแบบไทย ในโอกาสงานเลี้ยงสังสรรค์ผู้สื่อข่าวประจำปี ที่ในปีนี้จัดในรูปแบบของงานวันสงกรานต์เพื่อให้เข้ากับเทศกาลที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วัน
บัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เฉลยให้ฟังถึงสาเหตุของการกำหนดวันดังกล่าวให้เป็นวันจัดงานว่าเนื่องจากวันนั้นเป็นวันส่งท้ายปีเก่าทางจันทรคติ ที่คนส่วนมากอาจหลงลืมกันไปแล้ว ประกอบกับช่วงบ่ายในวันนั้นยังมีการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีของธนาคารกสิกรไทย ที่มีผู้บริหารเข้าร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตาอยู่แล้ว ประการสุดท้ายที่อาจดูเหมือนบังเอิญก็คือ เลข 8 เป็นเลขที่บัณฑูรชื่นชอบเป็นพิเศษจึงถือโอกาสวันดังกล่าวจัดงานเลี้ยงฉลองส่งท้ายปีเก่าทางจันทรคติเสียเลย
งานเลี้ยงที่จัดขึ้นมีซุ้มอาหารให้เลือกชิมได้หลากหลายตามความชอบ โดยเป็นอาหารที่ยกมาครบ 4 ภาค ทั้งเหนือ อีสาน กลาง และภาคใต้ เช่นเดียวกับการแสดงภายในงานที่นอกจากจะมีดนตรีจากวงดนตรีไทยที่คอยขับกล่อมกันตลอดงาน และการละเล่นแบบไทยจากเหล่าอี-เกิร์ลทั้งหลายแล้ว ยังมีการแสดงจาก 4 ภาค มานำเสนอด้วยเช่นกัน ประเดิมด้วยกลองสะบัดไชยจากภาคเหนือ ตามมาด้วยระบำตารีมาลากัสของภาคใต้ ก่อนจะเป็นรำหมากกั๊บแก๊บลำเพลินของภาคอีสานและปิดท้ายด้วยรำกลองยาวจากภาคกลาง ซึ่งการแสดงจากทีมนักแสดงกรมศิลปากรทั้งหมดนี้เรียกเสียงปรบมือจากผู้ชมในงานไปได้ไม่น้อยหน้ากัน
การที่บัณฑูรเลือกเอาอาหารและการแสดงจากทั้ง 4 ภาค ของไทยมาร่วมในงานวันนั้นท่ามกลางบรรยากาศของการก่อความไม่สงบทางภาคใต้ที่ลุกลามเกิน 3 จังหวัดชายแดนมายังสงขลาและหาดใหญ่แล้ว อาจเป็นการสะท้อนความคิดและความรู้สึกจาก KBANK ว่าถึงแม้จะอยู่คนละภาค กินอาหารแตกต่างกันและมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แต่ทั้งหมดทุกคนก็ล้วนเป็นคนไทยและสามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้โดยสันติและไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง
อีกหนึ่งการแสดงที่สื่อมวลชนเฝ้ารอไม่น้อย เห็นจะเป็นการบรรเลงดนตรีจากบัณฑูร ซึ่งในปีนี้เขาเลือกใช้แซ็กโซโฟนมาบรรเลงเพลง "เด็กปั๊ม" ของคณะคนด่านเกวียน ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาซาบซึ้งใจกับความเต็มที่เต็มใจในการให้บริการของเด็กปั๊มน้ำมันเป็นพิเศษ ไม่แน่ว่าเพลงเพลงนี้อาจจะบอกเป็นนัยๆ ถึงการให้บริการของพนักงาน KBANK และบริษัทในเครือในปีนี้ที่จะเต็มที่มากขึ้นก็เป็นได้
ก่อนงานเลี้ยงสังสรรค์จะเริ่มขึ้น บัณฑูรใช้เวลากว่าชั่วโมงในห้องประชุมใหญ่ในการบอกเล่าถึงความพร้อมในการให้บริการทางการเงินครบวงจรของ KBANK ผ่านทางกิจการธนาคารและบริษัทในเครือหลักๆ อีก 5 แห่ง ได้แก่ บล.กสิกรไทย (K-Securities) ให้บริการด้านหลักทรัพย์, บลจ.กสิกรไทย (K-Asset) ให้บริการบริหารทรัพย์สินและกองทุนรวม, แฟคเตอริ่งกสิกรไทย (K-Factoring) บริการแฟคเตอริ่ง, ลีสซิ่งกสิกรไทย (K-Leasing) สำหรับบริการลีสซิ่ง ซึ่งจะเริ่มอย่างจริงจังตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปและ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (K-Research) ทำหน้าที่เป็นศูนย์วิจัยเผยแพร่ออกสู่สาธารณชน ถึงแม้ไม่สร้างรายได้ในแง่เม็ดเงินให้กับเครือกสิกรไทย แต่สร้างชื่อเสียงให้กับเครือได้อย่างมาก
"ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเป็นหน่วยงานที่เราภูมิใจมาก ถึงไม่มีรายได้ที่เป็นตัวเงิน แต่ทุกวันนี้ถูกอ้างชื่อในสื่อมากกว่าธนาคารกสิกรไทยเสียอีก" บัณฑูรเล่า
การเปิดตัวกิจการหลักในเครือทั้ง 5 แห่งพร้อมด้วยผู้บริหาร ครบชุด รวมทั้งโลโกของแต่ละบริษัทที่พัฒนาต่อมาจาก KBANK ในรูปแบบที่ใกล้เคียงกันเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นกิจการในเครือของ KBANK เป็นการบอกให้ตลาดและลูกค้ารู้ว่าถึงวันนี้ KBANK พร้อมแล้วที่จะให้บริการทางการเงินอย่างครบวงจร โดย นับจากนี้ไปน่าจะมีการสร้างแบรนด์ของเครือกสิกรไทยให้ชัดเจน และแข็งแรงขึ้นตามลำดับ
แน่นอนว่าการเป็นกิจการในเครือของ KBANK ย่อมเป็นแต้มต่อให้กับบริษัทเหล่านี้ที่ไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์ กลยุทธ์หนึ่งที่แต่ละบริษัทจะใช้ในการดำเนินธุรกิจก็คือการเจาะเข้าไปในฐานลูกค้าของ KBANK เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นเมื่อมองจากฝั่งลูกค้า การเป็นลูกค้าของ KBANK อยู่แล้วและจะใช้บริการจากบริษัทในเครือเพิ่มมากขึ้น ก็จะช่วยเพิ่มความสะดวกได้มากขึ้น ขณะเดียวกันในฝั่งของ KBANK เองก็ยังช่วยลดต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่ได้ด้วย
เมื่อพูดถึงความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจในปีนี้ บัณฑูรไล่เลียงตามลำดับโดยเริ่มจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมีผลกระทบต่อทุกธุรกิจและทุกประเทศ อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความเห็นต่อแนวโน้มราคาน้ำมันเขาปฏิเสธที่จะให้ความเห็น และยังห้ามไม่ให้ ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานกรรมการ บลจ.กสิกรไทยในฐานะอดีตเลขาธิการ คณะกรรมการพลังงานแห่งชาติ ให้ความเห็นในเรื่องนี้อีกด้วย
"ผมไม่มีคุณสมบัติพอที่จะคาดการณ์เรื่องน้ำมันและห้ามไม่ให้ ดร.ปิยสวัสดิ์พูดด้วย เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องการเมือง"
แต่น่าแปลกใจที่กลางดึกคืนเดียวกันนั้นเอง ดร.ปิยสวัสดิ์ ได้ไปร่วมรายการถึงลูกถึงคน ซึ่งมีการสนทนาในหัวข้อเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำมันและแนวโน้มราคาน้ำมัน ร่วมกับผู้บริหารจากบริษัทน้ำมันหลายคน
ปัจจัยเสี่ยงประการถัดมาที่บัณฑูรกล่าวถึงก็คือ การก่อการร้าย โรคระบาด และประการสุดท้ายคือ อัตราดอกเบี้ย
บัณฑูรน่าจะเป็นนายแบงก์คนแรกที่กล่าวถึงเรื่องการก่อการร้ายโดยใช้คำดังกล่าว แทนที่จะเป็นเหตุการณ์ความไม่สงบทางภาคใต้ตามที่เรียกกันโดยทั่วไป และน่าสังเกตว่าเขาให้น้ำหนักกับปัจจัยนี้สูงเป็นอันดับสองรองจากราคาน้ำมันเลยทีเดียว
ความกังวลในเรื่องนี้เองที่อาจเป็นต้นคิดนำไปสู่ธีมในการจัดงานเลี้ยงที่กล่าวมาข้างต้น
|
|
|
|
|