|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
พีแอนด์จี โชว์ยอดขายในเอเชียพุ่ง ทุ่ม 3,500 ล้านบาท ดันไทยศูนย์กลางผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อความงามใหญ่ในเอเชีย ขยายกำลังผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและถนอมผิวหน้าป้อนกว่า 20 ประเทศ "ปริญดา" เอ็มดีคนใหม่ ประกาศนโยบายชู "นวัตกรรม" สินค้า 25 รายการ แก้เกมตลาดอิ่ม แข่งดุ-ต้นทุนพุ่ง พร้อมโฟกัสกลุ่มแชมพู-ถนอมผิวหน้าชนคู่แข่ง ตั้งเป้าสิ้นปีทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์โตมากกว่าตลาดรวม 3-4% รายได้รวมโตสองหลัก
นางสาวปริญดา หัศฎางค์กุล กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท พีแอนด์จี ประเทศไทย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค แชมพูแพนทีน ผลิตภัณฑ์ถนอมผิวหน้าโอเลย์ เปิดเผยถึงแผนการลงทุนในไทยว่า ได้ทุ่มงบ 3,500 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและผลิตภัณฑ์ถนอมผิวหน้าฐานการผลิตในประเทศไทยให้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า หรือจาก 140 ล้านลิตรต่อปี เพิ่มเป็นเกือบ 300 ล้านลิตรต่อปี และกว่า 95% ของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในศูนย์การผลิตแห่งนี้ จะถูกส่งออกไปยังประเทศต่างๆ 20 ประเทศ ทั้งนี้ การเพิ่มกำลังการผลิตดังกล่าวจะทำให้ฐานการผลิตในประเทศไทยของพีแอนด์จี กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์เพื่อความงามใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยฐานผลิตตั้งอยู่บนพื้นที่ 80 ไร่ ในเขตนิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์
"ภาพรวมธุรกิจพีแอนด์จีในทวีปเอเชีย มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้ในจีนจะต้องเพิ่มการผลิตในลักษณะเดียวกับประเทศไทย โดยในปีที่ผ่านมาพีแอนด์จีในต่างประเทศได้ซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม และผลิตภัณฑ์ถนอมผิวหน้ามากกว่า 9,000 ล้านบาท จากไทย ซึ่งเพิ่มขึ้น 27% จากปีก่อน โดยเฉพาะในญี่ปุ่นบริษัทส่งสินค้าไปมากกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 50% จากในปี 2546 ขณะที่ผลประกอบการในไทย รอบบัญชีเดือน ก.ค.-มิ.ย.ปี 2547 เติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก ทำให้ปีนี้เราต้องเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด ทั้งนี้กำลังการผลิตใหม่นี้จะเริ่มดำเนินการในปีนี้ และจะสามารถรองรับการผลิตได้ภายใน 3 ปีนี้"
นางสาวปริญดา กล่าวต่อในฐานะเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการช่วงเดือนมีนาคมอย่างเป็นทางการว่า นโยบายของบริษัทปีนี้จะเน้น 3 ประการหลัก คือ ประการแรก จะต้องเข้าใจถึงความต้องการของผู้บริโภคคนไทย ประการที่สอง คือ ในสภาวะที่การแข่งขันตลาดมีสูง ต้องมีนวัตกรรมใหม่ ที่ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ยังไม่ได้นำเสนอในตลาดมาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในราคาที่คุ้มค่า และประการที่สาม ต้องการสร้างบุคลากรภายในองค์กร ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะสร้างความแข็งแกร่งเพื่อสามารถต่อกรกับคู่แข่งขันได้ โดยเป้าหมายการทำตลาดปีนี้ ทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ตั้งเป้าเติบโตมากกว่าตลาดรวมหรือมากกว่า 3-4%
การเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ๆ จะเป็นกลยุทธ์หลักในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจ อีกทั้งยังเป็นกลยุทธ์สำคัญที่สร้างความสมดุลด้านภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นให้กับบริษัทได้ เนื่องจากปัจจุบันพีแอนด์จียังไม่มีนโยบายปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้น แม้ว่าต้นทุนค่าขนส่งจะเพิ่มขึ้นถึง 5% โดยปีนี้บริษัทได้เตรียมออกสินค้านวัตกรรมใหม่ทั้งหมด 25 รายการ โดยจะให้ความสำคัญกับตลาดผลิตภัณฑ์ถนอมผิวหน้ามากเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นตลาดที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงราว 20% จากมูลค่า 5,500 ล้านบาท โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอยปีที่ผ่านมาเป็นตลาดที่เติบโตสูง รวมทั้งให้ความสำคัญกับตลาดแชมพูด้วย ซึ่งคาดว่าแนวโน้มการแข่งขันปีนี้ กลุ่มผู้ประกอบการจะสร้างเทรนด์ใหม่ๆเพื่อกระตุ้นตลาดมากขึ้น ส่วนผลิตภัณฑ์ผ้าอนามัยและผ้าอ้อมสำเร็จรูปปีนี้การทำตลาดจะไม่เน้นมากนัก จากช่วง 3 ปีที่ผ่านมาธุรกิจไม่ได้เป็นไปดังเป้าหมายที่วางไว้ เช่น แพมเพอร์สมีส่วนแบ่งตลาดลดลงเหลือ 11%
ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา บริษัทได้แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่จาก 3 แบรนด์ ได้แก่ แพนทีน ลีฟออน แฮร์มอยส์เจอไรเซอร์ ครีมบำรุงผมชนิดไม่ต้องล้างออก ซึ่งการเปิดตัวครั้งนี้จะผลักดันให้แบรนด์แพนทีนโดยรวมเติบโต 10% จากการมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น 1% เป็น 12% โดยพีแอนด์จี มีส่วนแบ่งตลาดรวมในผลิตภัณฑ์เส้นผม 30% จากมูลค่าตลาดรวม 9,200 ล้านบาท ส่วนเดือนมีนาคมเปิดตัว รีจอยส์ สปา รูปลักษณ์ใหม่ มีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้น 1% เป็น 8% และในเดือนเมษายน ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ โอเลย์ โททัล เอฟเฟ็คส์ พลัส เซรั่มใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นแบรนด์ที่ประสความสำเร็จมากที่สุด ในปีที่ผ่านมาสามารถขึ้นเป็นผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์ถนอมผิวหน้าแทนที่พอนดส์ ด้วยการมีส่วนแบ่งเพิ่มจาก 28% เป็น 34% ส่วนพอนดส์เป็นอันดับสอง 28%
นอกจากนวัตกรรมจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พีแอนด์จีมีอัตราการเติบโตแล้ว ปัจจัยหลักยังมาจากการให้ความสำคัญกับตัวแทนจำหน่ายทั้งรายเล็กและรายใหญ่กว่า 400 รายทั่วประเทศหรือแบ่งเป็นโมเดิร์นเทรดกว่า 50% เทรดิชันนัลเทรดกว่า 40% ซึ่งในแต่ละปีจะมีการจัดอบรมตัวแทนจำหน่ายวิธีการจำหน่ายสินค้า รวมทั้งกลยุทธ์บรรจุภัณฑ์ขนาดเล็กผ่านช่องทางเทรดิชันนัลเทรด
|
|
|
|
|