Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ สิงหาคม 2526








 
นิตยสารผู้จัดการ สิงหาคม 2526
Delorean เดอลอรีนบทเรียนของนักบริหารที่หลงตัวเอง             
 


   
search resources

Vehicle
เดอลอรีน มอเตอร์ จำกัด ( หรือ ดีเอ็มซี)




นี่มิใช่เรื่องราวเกี่ยวกับโคเคน 220 ปอนด์ หรือเรื่องเก่าเล่าใหม่ของเดอลอรีน มอเตอร์ จำกัด แต่เป็นรื่องของนักธุรกิจซึ่งทรยศต่อผู้ที่สร้างเขาขึ้นมา และไปทำความหายนะในที่สุด ในฐานะเจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงของบริษัทตัวเอง จอห์น เดอลอรีน แสดงให้เห็นว่า เขาไม่เคยชื่นชมบุคคลอื่น ซึ่งอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเยเนอรัล มอเตอร์ส เขาไม่ตระหนักในขีดความสามารถของตนเอง ไม่เข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของเงินทุน หรือแหล่งที่มาของทุนทรัพย์อื่นๆ ในฐานะผู้บุกเบิก...จอห์น เดอลอรีน ถูกลิขิตให้เผชิญกับชะตากรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เดอลอรีน มอเตอร์ จำกัด (หรือดีเอ็มซี) มีผลกำไรถึง 6 ล้านดอลลาร์ในเดือนกุมภาพันธ์ 1982 ในระยะเวลาเพียง 1 ปี 3 เดือนแรกของการดำเนินกิจการ นับเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งทีเดียว ทั้งๆ ที่ต้องเผชิญกับข้อเสียเปรียบ และปัญหานานัปการ...ดีเอ็มซีอาจยังคงดำเนินกิจการไปได้อย่างราบรื่น หากจอห์น ซี. เดอลอรีน ผู้ก่อตั้งและกำลังสำคัญเบื้องหลังของบริษัทฯ ไม่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวพัน ซึ่งเชื่อว่ากระทำไปเพื่อป้องกันดีเอ็มซีจากสภาพล้มละลาย

เบื้องหน้าเบื้องหลังเหตุการณ์นี้เป็นอย่างไรยังไม่มีใครทราบแน่ชัด อย่างไรก็ดี มีหลายคนเชื่อว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเดอลอรีนรู้ปัญหาของดีเอ็มซีมาก่อนหน้าที่จะถูกจับในเดือนตุลาคม 1982 นานแล้ว และความจริงเขาได้เตรียมตัวรับสภาพล้มละลายของบริษัทฯ ล่วงหน้าถึง 8 เดือน

เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะจากสื่อมวลชนและวงการหนังสือพิมพ์ที่คลั่งไคล้ในตัวเขา จอห์น เดอลอรีนเกือบจะสร้างสิ่งมหัศจรรย์ในฐานะนักบุกเบิกเป็นผลสำเร็จอยู่แล้ว หากความหลงตัวเองซึ่งเปรียบดังปีกขี้ผึ้งของตัวละครในเทพนิยายกรีกโบราณ ได้พาเขาเข้าใกล้ดวงอาทิตย์จนเกินไป และต้องล้มละลายไปด้วยแสงอาทิตย์ในที่สุด

แต่เรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้ ไม่ใช่เรื่องของดีเอ็มซี หรือโคเคน 220 ปอนด์ หากเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับสภาวะ “หนีเสือปะจรเข้” ทางธุรกิจ ซึ่งผู้บริหารกิจการใหญ่ๆ ถ้าลงได้เสี่ยงบุกเบิกโครงการใหม่ๆ ต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ระหว่างปี 1960 ถึง 1970 ตอนต้น เดอลอรีนได้รับการขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะแห่งยุควิศวกรผู้ปราดเปรื่อง ผู้ใช้ประวัติการทำงานดีเยี่ยมและบุคลิกที่โดดเด่นของเขา ปูทางไปสู่อาชีพที่รุ่งโรจน์

เขาสามารถทำตัวให้เป็นที่ยอมรับและยกย่องในวงการอุตสาหกรรม ซึ่งมักจะ “ทำลาย” เด็กหน้าใหม่ไร้ชื่อเสียง มานักต่อนัก และวงการหนังสือพิมพ์ก็ให้การสนับสนุนเขาเต็มที่ ทุกบทความเกี่ยวกับเขาล้วนส่งเสริมภาพลักษณ์ความเป็น “นักสร้างรถยนต์ ผู้ไม่ยอมให้จูงจมูก” ของเดอลอรีนยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ดี หลังจากที่เขาต้องกระเด็นจากเยเนอรัล มอเตอร์ ในปี 1973 และตัดสินใจสร้างรถยนต์ของตัวเอง เดอลอรีนก็ได้รับการขนานนามใหม่ว่า “นักบุกเบิกผู้กระเสือกกระสน” การลดตัวเองจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำเป็นเรื่องยากอยู่เองโดยธรรมชาติ..

“ใครก็ตามที่เคยบริหารกิจการใหญ่ๆ มาแล้ว ย่อมลำบากอย่างยิ่งในการปรับตัวให้เข้ากับสถานภาพใหม่ซึ่งด้อยกว่าเดิม คาร์ล เวลปเปอร์ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาเกี่ยวกับ “นักบุกเบิก” กล่าว.. “คุณต้องเปลี่ยนตัวเองใหม่หมด คุณไม่มีผู้เชี่ยวชาญคอยให้ความช่วยเหลืออีก และแหล่งที่มาของเงินทุนก็มีจำกัดด้วย” ปัญหาจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ถ้าคุณยังพยายามทำทุกสิ่งในระดับเดียวกับที่เคย และตามนโยบายที่ได้ใช้มาในอดีต

ปฏิกิริยาของเดอลอรีนในฐานะเจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงของบริษัทของเขาเอง ชี้ชัดว่า เขาไม่ได้ชื่นชมกับบทบาทของจีเอ็ม (เยเนอรัล มอเตอร์) ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเขาแม้แต่น้อย ตลอด 17 ปีของชีวิตการทำงานที่นั่น เขาไม่เข้าใจขีดจำกัดความสามารถของตัวเอง หรือธรรมชาติของเงินทุน รวมทั้งแหล่งที่มาของทุนทรัพย์อื่นอย่างถ่องแท้ พูดสั้นๆ เขาคือนักบุกเบิกที่ถูกลิขิตให้ผจญกับความหายนะ

เดอลอรีนพบกับอุปสรรคที่เห็นกันอยู่ชัดๆ และหลีกเลี่ยงไม่ได้แต่แรกเริ่มต้นศตวรรษที่ผ่านมา มีนายทุนน้อยใหญ่ กว่า 2,500 ราย พยายามก่อตั้งกิจการรถยนต์ใหม่ๆ ขึ้นในอเมริกา แค่พอถึงปี 1973 มีเพียง 4 บริษัทยักษ์ใหญ่กับระดับกระจิบกระจอกไมกี่ราย เช่น เอ๊กซ์ คาลิเบอร์ อานนท์ และเช็คเคอร์เท่านั้น ที่คงอยู่ได้ ผู้เชี่ยวชาญหลายนายได้ลองประเมินเงินทุนเริ่มแรกไว้คร่าวๆ ราว 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเป็นอย่างต่ำ ในขณะที่กิจการประกอบรถยนต์อย่างของเดอเลอรีนใช้เงินเพียง 300 ล้านเหรียญ

ในไอร์แลนด์เหนือ แม้ประสงค์จะได้งาน 2,600 ตำแหน่ง จากการสร้างโรงงานผลิตของดีเอ็มซี ในดันเมอรี่ก็ยังต้องเสี่ยงกับการคว้าน้ำเหลวที่ปรึกษาฝ่ายจัดการของบริษัทแมคแคนซีแอนด์โก เมื่อถูกขอให้ลองประเมินผลของโครงการตัดสินว่า โอกาสที่จะเป็นไปได้มีเพียง 1 ใน 10 เดอลอรีนเองก็รู้ถึงปัญหานี้เป็นอย่างดี แต่กลับเกทับไปว่า “หากสำเร็จขึ้นมาเมื่อไหร่มันก็อาจจะเป็นผลสำเร็จที่เหลือเชื่อที่สุดในรอบศตวรรษ”

สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจที่สุดก็คือ เดอลอรีนเกือบจะประสบความสำเร็จอยู่แล้วทีเดียว ชื่อเสียง ความสามารถในการขยายกิจการคือ สติปัญญาที่เฉียบไวในการเลือกทีมงาน ตลอดจนความพยายามที่จะผลักดันให้โครงการกลายเป็นความจริง ทำให้เดอลอรีนหาเงินได้ถึง 240 ล้านเหรียญ สร้างโรงงานผลิตพร้อมคนงานเสร็จสรรพที่ไอร์แลนด์เหนือ ในเวลาเพียง 2 ปีเศษ และทำกำไรในเวลาไม่กี่ปี แต่อนิจจายิ่งความฝันของเขางอกงามเร็วเท่าไหร่ มันก็เหี่ยวแห้งและตายไปเร็วเท่านั้น ประสบการณ์จากจีเอ็มทำให้เขาสร้างดีเอ็มซีเป็นผลสำเร็จ ได้พาดีเอ็มซีไปสู่ความวิบัติในที่สุด ดีเอ็มซีเป็นโครงการขนาดใหญ่เกินกว่ากำลังความสามารถของคนธรรมดา ๆ จะรับไหว จะฉลาดปราดเปรื่องเพียงใดก็ตาม และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนบ่งบอกลางร้ายตั้งแต่แรก

“ผมไม่คิดว่าจอห์นพยายามเรียนรู้ให้มากพอ ตอนที่เขายังอยู่กับจีเอ็ม” นี่เป็นคำกล่าวของซี. อาร์.บราวน์ อดีตรองประธานดีเอ็มซี และผู้บริหารระดับอาวุโส ซึ่งอยู่กับบริษัทมานานที่สุด “คนที่ทำงานกับจีเอ็มส่วนมากไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเท่าไหร่ อย่างเช่นการตลาด อุตสาหกรรม การผลิต การเงิน การวางแผน จอห์นเพียงแต่คอยควบคุมทีมงานอย่างผิวเผิน และไม่สนใจจะรู้ให้ลึกซึ้งไปมากกว่านั้น แม้แต่เดวิด แอล. เลวิส ประธานสมาคมนักประวัติศาสตร์รถยนต์ และศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยมิชิแกน เขาให้ข้อคิดเห็นว่า “การที่จอห์นไม่เรียนรู้จากจีเอ็มเท่าที่ควรเป็นเพราะชีวิตการทำงานของเขาเริ่มต้นในบริษัทขนาดยักษ์ใหญ่ เขาจึงขาดประสบการณ์ ซึ่งบริษัทเล็กๆ เท่านั้นจะให้ได้ ถ้าเทียบกับใครสักคนที่เริ่มต้น และลำบากลำบนมากับกิจการกระจอกงอกง่อยแล้ว จอห์นก็จะรู้ว่าเขาต้องการเรียนรู้อีกเยอะ”

เดอลอรีน เป็นวิศวกรที่ปราดเปรื่องจริงๆ (เขาได้จดทะเบียนลิขสิทธิ์สิ่งที่คิดค้นขึ้นกว่า 100 ชิ้นมาแล้ว) แถมยังมีสัญชาตญาณพิเศษอีกด้วย

ผลงานที่ได้รับการยกย่องของเขาก็เช่นการออกแบบ “ล้อห่าง” ให้กับปอนเตียก ไฟหน้าชนิดเรียงเป็นตับ ที่ปัดน้ำฝนแบบซ่อนรูป เสาอากาศวิทยุ ตลอดจนรถหลายๆ รุ่น เช่น จีทีโอ, กรังด์ปรีซ์ และไฟร์เบิร์ด...นับเป็นการเปลี่ยนรูปโฉมใหม่ให้กับปอนเตียก

ขณะเดียวกัน เดอลอรีนก็เปลี่ยนโฉมตัวเองไปด้วย ทั้งรถทั้งคนออกแบบฉีกออกจากความจำเจด้วยกันทั้งคู่

ข่าวโคมลอยในระยะสั้นมีว่า ขณะที่เดอลอรีนทิ้งเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ลงไปในรถยนต์ขนาดกลาง เขาได้ลดน้ำหนักลง 60 ปอนด์ ทิ้งภรรยาคนแรก และโยน “วิถีชีวิตที่เป็นระเบียบแบบแผนทิ้งด้วย”

รถรุ่น จีทีโอ ประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่งจากยอดขายระหว่างปี 1964-1968 สูงถึง 312,000 คัน ตามมาด้วยรุ่นไฟร์เบิร์ด-ประติมากรรมชั้นเยี่ยม สร้างความฮือฮาไปทั่ววงการรถยนต์ แต่เดอลอรีนแม้จะได้ชัยชนะมาตลอด ทั้งในด้านชื่อเสียงและหน้าที่การงาน เขาก็ยังวางตัวไม่เหมาะสมอยู่ดี ในการทำงานกับจีเอ็ม ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ค่อนข้างหัวโบราณอยู่มาก ฉะนั้นเดอลอรีนคนใหม่ เมื่อดึงหน้าให้ดูหนุ่ม ย้อมสีผม ขับรถสปอร์ตรุ่นล่าสุด ควงนักแสดงสาวสวยๆ มีภรรยาเป็นนางแบบ (คนแรกคือ เคลลี่ ฮาร์มอน และปัจจุบัน คริสตินา เฟอร์แร) จึงถูกเพ่งเล็งจากสังคมมากขึ้นทุกที

แทนที่จะได้คิด เดอลอรีนกลับมองเห็นแต่ความสำเร็จที่ผ่านมาในอดีต เขาไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างบทบบาทของจีเอ็มกับเบื้องหลังความสำเร็จของเขา (ตั้งแต่เงินทุนอนุมัติในการสร้างรถรุ่นใหม่ๆ ตามใจชอบ อิทธิพลต่างๆ กับทีมงานนับพันๆ คน และตัวของเขาเอง)

“ให้ตายซิ” บราวน์กล่าว “กว่าจะมาเป็นไฟร์เบิร์ดได้ ต้องอาศัยคนนับพันๆ คน ทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างมันขึ้นมา แต่จอห์นกลับมองไม่เห็น เขาถือว่าความสำเร็จอันนี้มาจากตัวเขาคนเดียว ในฐานะผู้จัดการปอนเตียก ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือใครก็ล้มเหลวไม่ได้ทั้งนั้น เป็นเรื่องธรรมดา แต่จอห์นกลับไปคิดว่ามันเป็นเรื่องสลักสำคัญใหญ่โต พูดง่ายๆ คือสำคัญตัวผิดนั่นแหละครับ”

ในการหาเงินทุนสักก้อนที่จีเอ็ม เป็นเรื่องไม่ยากเย็นอะไรเลย เพียงกรอกจำนวนเงินที่ต้องการ เช่น 600 ล้านเหรียญ และตั้งวัตถุประสงค์ สมมุติว่าเพื่อสร้างโรงงานใหม่ที่ไหนสักแห่ง ก็ส่งเอกสารนี้ไปให้คณะกรรมการพิจารณาไม่เกิน 2-3 เดือน ก็จะได้รับอนุมัติ นี่เป็นประสบการณ์ที่เดอลอรีนเรียนรู้จากจีเอ็ม

พอมาถึงการหาเงินทุนสำหรับสร้างดีเอ็มซี มันไม่ง่ายอย่างนั้น แต่จอห์นก็ฉลาดพอที่จะใช้ความมีชื่อเสียงของเขาให้เป็นประโยชน์ เขาได้รับเงิน 10 ล้านเหรียญจากตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ 345 แห่ง 18 ล้านเหรียญ จากผู้ถือหุ้น 134 รายที่เหลือ ซึ่งรวมแล้วประมาณ 200 ล้านเหรียญ เป็นเงินทุนอุดหนุนจากรัฐบาลไอร์แลนด์เหนือ ตัวเดอลอรีนเองเข้าหุ้นด้วยเพียง 20,000 เหรียญเท่านั้น แต่กลับมีสิทธิ์ เป็นเจ้าของกิจการต่างๆ ภายใต้ชื่อของเขาถึง 80%

ในอดีตมีน้อยนักที่สามารถหาเงินทุนเป็นจำนวนสูงขนาดนี้ เห็นจะต้องยอมรับว่าเขาเก่งจริงๆ ในเรื่องนี้

นักเขียนคอลัมน์ประจำเช้าวันจันทร์กล่าวว่า ดีเอ็มซีมีเงินทุนไม่เพียงพอตั้งแต่แรกก็จริง แต่เงินจำนวนที่เดอลอรีนหามาได้จะยืดอายุดีเอ็มซีไปได้นานกว่านี้มากมายนัก หากเขารู้จัดลดระดับ “รสนิยม” ของตัวเองลงบ้าง ความเคยชินกับชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย เมื่อครั้งที่อยู่กับจีเอ็ม ทำให้เดอลอรีนจมไม่ลง

ดูเหมือนเดอลอรีนจะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพความเป็นจริงในปัจจุบัน การที่เขาใช้จ่ายฟุ่มเฟือย โดยไม่ยั้งคิด มีผลทำให้ฐานะการเงินของดีเอ็ซี เริ่มคลอนแคลน คนรับใช้ในบ้านก็มีจำนวนมากเสียจนต้องโกงว่าเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัท

เขาเอารถของดีเอ็มซีไปใช้คันแล้วคันเล่าเป็นว่าเล่น บางคันแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ด้วยฝีมือของพวกเพื่อนๆ ค่าใช้จ่ายส่วนตัวของเขาสูงถึง 100 เหรียญต่อสัปดาห์ ไม่รวมรายได้อีก 475,000 เหรียญต่อปี ในฐานะที่ปรึกษาของบริษัทฯ เขาเดินทางด้วยเครื่องคองคอร์ดบ่อยครั้ง และต้องมีคนจากดีเอ็มซีมาคอยรับที่สนามบินทุกครั้ง

สาขาของดีเอ็มซีในสหรัฐฯ ที่ชั้น 42 พาร์คอเวนิว ก็เลิศหรูหาที่เปรียบมิได้ เดอลอรีนให้เหตุผลว่า “จะขายของชั้นดีราคาแพง ร้านก็ต้องหรูเป็นธรรมดา ก็เหมือนรองเท้ากุชชี่นั่นแหละ คุณจะเอาไปขายตามซอกตามซอยถนนสายกระจอกๆ แถวบรอดเวย์ไม่ได้หรอก” เรื่องนี้นักวิจารณ์ชาวอังกฤษกลับมีความเห็นไปคนละเรื่อง “เราคิดว่าตัวจอห์นคงจะยอมตายเสียดีกว่าที่จะลดตัวลงไปอยู่อันดับสอง”

นอกเหนือจากชีวิตส่วนตัวซึ่งสร้างปัญหาให้กับดีเอ็มซีมากอยู่แล้ว เดอลอรีนเองยิ่งสับสนเรื่องอะไรมาก่อนมาหลังเข้าไปใหญ่ แทนที่จะทุ่มเทกำลังเงินกำลังความคิดให้กับการสร้างดีเอ็มซี เพื่อวันหนึ่งดีเอ็มซีจะเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อย่างเต็มภาคภูมิ เขากลับให้ความสนใจกับโครงการที่ไม่เกี่ยวข้องจำนวนนับไม่ถ้วน แล้วใครเป็นผู้รับเคราะห์? ก็ดีเอ็มซีเองนั่นแหละ

ดีเอ็มซี ต้องจ่ายเงินตั้งแต่ 1 ล้านเหรียญ เป็นค่าดำเนินการทางกฎหมาย เพื่อซื้อบริษัทผลิตเครื่องมือปรับแต่งลานสกี ในยูทาห์อีก 500,000 เหรียญ ในการประมูลซื้อกิจการไครสเลอร์ (ซึ่งไม่สำเร็จ) ไปจนถึง 17 ล้านเหรียญ ให้กับจีพีดี เซอร์วิส ในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งให้บริการอะไรกับดีเอ็มซี ไม่มีใครทราบแน่ชัดเพราะเป็นเรื่องของเดอลอรีนแต่เพียงผู้เดียว และต่อมาเขาก็ได้เป็นเจ้าของกิจการในยูทาห์สมใจ โดยใช้เงินที่ถอนจากบัญชีธนาคารในสวิส (เป็นเหตุให้บุคคลสำคัญในทีมผู้บริหารของดีเอ็มซีคนหนึ่งต้องยื่นใบลาออก โครงการส่วนตัวของเดอลอรีนดังกล่าว ทำให้การผลิตรถยนต์ของบริษัทฯ สับสนวุ่นวายไปหมด)

เท่านั้นยังไม่พอ เดอลอรีนยังสนใจในกิจการปลีกย่อยเล็กๆ น้อย ๆ อีกนับไม่ถ้วน เช่น ไร่มันฝรั่ง โครงการผลิตรถยนต์โดยสาร การบริการทางน้ำ เครื่องยิงแสงเลเซอร์ หุ่นจำลองรถยนต์ รวมทั้งพยายามที่จะนำรถอัลฟ่าโรมิโอ ซูซูกิ และไดฮัทสุ เข้ามาจำหน่าย เหตุการณ์เหล่านี้หนักหนาเกินกว่ากำลังของบริษัทฯ จะรับไว้ได้ ผลก็คือ ต้องหมุนเงินทางนี้ไปจ่ายทางโน้นอยู่ตลอดเวลา และตามมาด้วยการฟ้องร้องหลายคดีความ

บราวน์ ซึ่งเป็นรองประธานบริษัทฯ ในขณะนั้น ชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่า จุดประสงค์ที่แท้จริงของดีเอ็มซีคือการผลิตรถยนต์ออกสู่ตลาด หรือตอบสนองตัณหาของผู้ก่อตั้งกันแน่ เขาและคณะกรรมการฝ่ายบริหาร จึงเรียกเดอลอรีนมาชี้แจงเรื่องนี้ และก็ได้คำตอบว่า “บริษัทฯ นี้เป็นของผม ผมจะทำทุกอย่างตามวิถีทางของผม เก็บวิธีของคุณไปใช้เมื่อมีบริษัทเป็นของตัวเองดีกว่า”

เช่นเดียวกับเงินกองกลาง ซึ่งเดอลอรีนนำไปผลาญเล่นโดยเปล่าประโยชน์ ทีมงานฝ่ายจัดการของบริษัทฯ เองก็ตกอยู่ในฐานะเดียวกัน บุคคลเหล่านี้ถูกจัดอยู่ในระดับหัวกะทิด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นวิลเลียม คอลลินส์ และโรเบิร์ต ดิวอี จากจีเอ็ม อุยีน คาฟโร อดีตประธานผู้มีชื่อเสียงของไครสเลอร์ หรือซี.อาร์. บราวน์ ผู้เคยสร้างประวัติการณ์ในการจำหน่ายมาสด้าจากศูนย์ขึ้นไปเป็น 120,000 คัน ได้ภายในเวลาไม่ถึง 2 ปี

ความสำเร็จในระยะเริ่มแรกของดีเอ็มซี แท้จริงมาจากความสามารถของพวกเขา ซึ่งรับผิดชอบมาตั้งแต่ขยายงาน ตัวแทนจำหน่าย โรงงานผลิตศูนย์ควบคุมคุณภาพ ไปจนถึงการจัดการเงินทุนผลิตรถยนต์ เดอลอรีนไม่เคยลงมือทำอะไรเองเลย แต่เมื่อบริษัทฯ เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาในวงการ เขาเป็นผู้เดียวที่ได้รับการยกย่องจากวงการหนังสือพิมพ์ และสื่อมวลชนอื่น ๆ

ขณะเดียวกัน เดอลอรีนก็ทำตัวเป็นศัตรูกับผู้ร่วมงานของตัวเอง เขาไม่รับฟังคำแนะนำจากใครหน้าไหนทั้งสิ้น โดยเฉพาะในเรื่องที่ขัดกับความปรารถนาส่วนตัวของเขา อย่างเช่นคราวหนึ่งเจ้าหน้าที่ระดับบริหารหลายคนพากันคัดค้านการที่เดอลอรีนคิดจะออกใบรับประกัน 25 ปี ให้กับตัวถังรถ “เดอลอรีน” และไม่สนับสนุนให้ใช้ชิ้นส่วนชุบทองที่ค้นคิดเอง แต่เดอลอรีนดันทุรังจะทำให้ได้ “ผมบอกเขาว่า วันหนึ่งเขาจะต้องเสียใจ” บราวน์เล่า

ดีเอ็มซีได้ผลิตรถที่ใช้ชิ้นส่วนชุบทองขึ้นมา 2 คัน (เดอลอรีนต้องการถึง 100 คัน แต่ละคันมีมูลค่า 125,000 เหรียญ แต่ขายไปในราคาประมาณ 85,000 เหรียญ ดีเอ็มซียังมีชิ้นส่วนตัวถังรถยนต์ชุบทองมูลค่า 50,000 เหรียญ เหลืออยู่จนทุกวันนี้ “มันเป็นสิ่งที่เกินกำลังบริษัทเล็กๆ อย่างเราจะทำได้” บราวน์ตั้งข้อสังเกตอย่างเนือยๆ

ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ดีเอ็มซีเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ทางการเงินระดับสูงถึง 4 คน โดยเหตุที่พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามตำแหน่ง และไม่อาจทำตามสิ่งที่เดอลอรีนปรารถนา นอกเหนือจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่ระดับผู้บริหารหลายคนลาออก ส่วนบราวน์ถูกบังคับให้ลาออก ภายหลังจากที่เขาปฏิเสธไม่ให้คนของเดอลอรีนทำการยึดรถคืนจากธนาคารแห่งอเมริกา ซึ่งให้ความสนับสนุนด้านการเงินแก่ดีเอ็มซีอยู่ในขณะนั้น

คณะกรรมการบริษัทฯ ก็อยู่ในภาวะ “ไร้สมรรถภาพ” เช่นกัน เมื่อพวกเขาปฏิเสธข้อเสนอแนะจากเดอลอรีนที่จะใช้ทรัพย์สินของดีเอ็มซีค้ำประกันการกู้เงินให้กับกิจการ เดอลอรีนมีคำสั่งให้แต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ทันที

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ มีแต่ช่วยเพิ่มอุปสรรคที่คอยขัดขวางความสำเร็จของผลผลิตจากดีเอ็มซี ... แรกทีเดียว รถเดอลอรีนถูกจัดว่าเป็นคู่แข่งโดยตรงของเชฟโรเลต รุ่นคอร์เว็ท มีราคาแพง และตลาดก็จำกัด เมื่อระยะเวลาการผลิตยืดเยื้อออกไป และราคาขายเดิม 10,500 เหรียญต่อคัน พุ่งขึ้นไปเป็น 25,000 เหรียญ ผลก็คือ ยิ่งทำให้ตลาดแคบลงไปอีก “ในขณะที่คุณขึ้นราคาสินค้า ยอดขายจะตกลงอย่างฮวบฮาบทันที” นักวิเคราะห์การตลาดผู้หนึ่งชี้แจง ที่แย่กว่า นั้น คนทั่วๆ ไปที่ซื้อรถใช้กันน้อยกว่าสมัยที่เดอลอรีนยังอยู่กับจีเอ็มหลายเท่าตัว การขึ้นราคาน้ำมันทำให้ยอดขายตกลงมากตั้งแต่ต้นปี 1978 พอถึง 1980 ก็มีรายงานว่าบริษัทผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ 4 บริษัทขาดทุนเฉลี่ยถึง 4.2 ล้านล้านเหรียญ

นักวิเคราะห์การตลาดของเดอลอรีนกะว่าปีหนึ่งๆ เขาจะสามารถจำหน่ายรถยนต์ได้ 6,000-8,000 คัน แต่เดอลอรีนต้องการโรงงานซึ่งสามารถผลิตรถยนต์ได้ 20,000 คันในปีแรก และ30,000 คันในปีที่สอง “เขาไม่สามารถลดตัวเองลงไปให้ใครดูถูกได้ว่าผลิตของเด็กเล่น”

เจ. บรูซ แมกวิลเลียมส์ อดีตรองประธานฝ่ายการตลาดของดีเอ็มซี ในสหรัฐฯ ตั้งข้อสังเกต “โรงงานถูกสร้างขึ้นให้สามารถขยับขยายออกไปได้อีก” เอ็ดเวิร์ด ลาแฟม บรรณาธิการระดับอาวุโส แห่งหนังสือ “ออโตเมทีฟ นิวส์” กล่าวเหมือนกับว่า “เขาต้องการเป็นเจเนอรัล มอเตอร์ ให้ได้ทันทีนั่นแหละครับ”

การใช้ทั้งเงินและกำลังคนโดยไม่ยั้งคิดของเดอลอรีน เป็นจุดเริ่มต้นของชะตากรรมก็จริง แต่การตัดสินใจอย่างดันทุรังของเขาในเวลาต่อมา คือสิ่งที่ชี้จุดจบของดีเอ็มซี เมื่อนักวิจารณ์ต่างยอมรับว่าดีเอ็มซีมีโอกาสผ่านพ้นความหายนะไปได้ เดอลอรีนก็ได้พาตัวเองและบริษัทฯ ไปสู่เชิงตะกอนด้วยน้ำมือของตัวเอง

เดอลอรีน มอเตอร์ คาร์ส จำกัด (ดีเอ็มซีแอล) ซึ่งเป็นบริษัทสาขาของดีเอ็มซี เริ่มก่อสร้างโรงงานผลิตขึ้นที่นอกเมืองเบลฟาสท์ ในเมืองตุลาคม 1978 เพียง 2 ปี ครึ่งถัดมา “รถเดอลอรีน” ที่ผลิตเพื่อการค้ารุ่นแรกก็ออกสู่ตลาดในเดือนมิถุนายน 1981 รถยนต์เหล่านี้ถูกนำเข้าไปจำหน่ายในอเมริกา และเริ่มทำเงินอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่ความต้องการของตลาดมีจำกัด

หากความสำเร็จในก้าวแรกนี้คงอยู่ได้ในระยะเวลาสั้นๆ ในเดือนธันวาคม 1981 ภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญก็ได้ก่อตัวขึ้น ทำให้ยอดการจำหน่ายรถรุ่นใหม่ตกลงอย่างรวดเร็ว ยอดขายของ เดอลอรีนระหว่างเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม ตกจาก 650 คัน ไปเป็น 350 คันในเดือนเดียว” บราวน์ เล่า... “แต่เราก็สามารถตรึงภาวะเสมอตัวไว้ได้สำหรับสาขาในสหรัฐฯ ขณะนั้นอัตราการผลิตของเราอยู่ในระหว่าง 30-35 คันต่อวัน อันเป็นอัตราที่ตลาดยังรับได้ และไม่ทำให้บริษัทต้องขาดทุนด้วย ถ้าเรารักษาระดับนี้ไว้และก้าวไปอย่างช้าๆ ดีเอ็มซีก็อาจอยู่มาได้ เรื่อยๆ จนทุกวันนี้”...

แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตรไปหมด เมื่อเดอลอรีนประกาศขายหุ้นบริษัท เดอลอรีน มอเตอร์สโฮลดิ้ง จำกัด (ซึ่งต่อมากลายเป็นบริษัทแม่ของดีเอ็มซีอีกทีหนึ่ง) เขามีคำสั่งให้ขึ้นอัตราการผลิตรถยนต์จากปกติให้เป็นกว่า 2 เท่าตัว โดยอ้างว่าเพื่อจะขายหุ้นให้ได้ในราคาและปริมาณที่ต้องการ

เมื่อทราบข่าวนี้ บราวน์และเจ้าหน้าที่ดีเอ็มซีอีก 2 นาย ตื่นตระหนกจนถึงขนาดต้องโทรศัพท์ด่วนถึงเดอลอรีนจากเบลฟาส์ อธิบายให้เขาฟังว่า บริษัทฯ จำเป็นต้องจำกัดปริมาณการผลิตลงไปอีก “เราพยายามชี้แจงถึงสภาวะของตลาด สถานการณ์ที่เป็นอยู่ ตลอดจนปัญหาต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นกับผลผลิตของเรา (เพราะเดอลอรีนยืนยันจะให้ดี เอ็มซีเติบโตเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พนักงานกว่าครึ่งจึงเป็นผู้ไม่ชำนาญงาน และผลก็คือ เมื่อรถ “เดอลอรีน” เดินทางถึงสหรัฐฯ แต่ละคันอยู่ในสภาพต้องซ่อมแซมเป็นเงินอย่างน้อย 1,500 เหรียญ)... ผมพูดแล้วพูดอีกว่า ความประสงค์ของเขาจะทำให้บริษัทต้องเสียเครดิตในที่สุด แต่เขาก็ไม่ฟัง” บราวน์กล่าว และสิ่งที่จอห์นโต้กลับมา (อย่างไร้เหตุผล) ก็คือ “คุณต้องการแก้ปัญหาด้วยการลดจำนวนการผลิตใช่ไหม ให้ตายซิ บราวน์! สิ่งที่คุณต้องทำให้สำเร็จมีอยู่อย่างเดียว-ขายรถให้ได้มากกว่านี้!”

และแล้ว คนงานซึ่งไม่เคยผ่านงานด้านประกอบรถยนต์มาเลย อีก 1,200 คน ก็ถูกรวมเข้าในบัญชีจ่ายเงินเดือนพนักงาน อัตราการผลิตรถยนต์ของดีเอ็มซีเพิ่มขึ้นตามคำสั่งของเดอลอรีน ในระยะนั้นมีการวิจารณ์กันอย่างหนาหูว่า จอห์น เดอลอรีน กำลังก้าวเร็วเกินตัว และนั่นคือสัญญาณแห่งความหายนะ...

อย่างไรก็ดี การตัดสินใจของเดอลอรีนในครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงสิ่งเดียวที่พาเขาไปสู่จุดจบ ไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น เขาได้ทุบหม้อข้าวตัวเองทิ้ง โดยกล่าวโจมตีรัฐบาลอังกฤษในหน้าหนังสือพิมพ์อย่างรุนแรง เพียงเพราะอังกฤษลังเลที่จะอนุมัติเงินอีก 60 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเดอลอรีนขอมาใช้ในโครงการผลิตรถประเภทซีดาน ความจริงทั้งรัฐบาลอังกฤษ และไอร์แลนด์เหนือให้ความสนับสนุนด้านการเงินแก่ดีเอ็มซีมาตลอด และเต็มใจที่จะทำต่อไปเรื่อยๆ หากเดอลอรีนไม่แว้งกัดพวกเขาเสียก่อน

ในที่สุดปริมาณการผลิตที่สูงเกินกำลัง ทำให้ดีเอ็มซีต้องสูญเสียเงินกู้ประเภทสินเชื่อซึ่งได้รับจากธนาคารแห่งอเมริกา จำนวนกว่า 33 ล้านเหรียญ ไปในระยะเวลาอันสั้น รวมทั้งเงินทุนสำรองเกือบทั้งหมดที่บริษัทฯ มีอยู่ ในเดือนกุมภาพันธ์ถัดมา รัฐบาลอังกฤษก็ออกประกาศสภาวะล้มละลายของดีเอ็มซี และมีคำสั่งให้เดอลอรีนหาเงิน 22 ล้านเหรียญมาใช้คืนโดยเร็วที่สุด

จวบจนวันที่ 19 ตุลาคม 1982 เดอลอรีนก็ยังไม่สามารถหาเงินจำนวนดังกล่าวมาได้ รัฐบาลอังกฤษจึงประกาศงดความช่วยเหลือทุกอย่างที่มีต่อดีเอ็มซีอย่างเป็นทางการ

เพียง 7 ชั่วโมงต่อมา ภายในห้องพักโรงแรมแห่งหนึ่งในลอสแองเจลิส จอห์น ซี เดอลอรีน ก็ถูกจับกุมตัวด้วยข้อหามีส่วนเกี่ยวพันกับการค้าโคเคนรายใหญ่ ซึ่งโคเคนนั้นสามารถทำเงินให้เขาได้ถึง 60 ล้านเหรียญ ในเวลาแค่ 5 สัปดาห์

ลาแฟม บก. อาวุโส แห่งหนังสือ “ออโตเมทีฟ นิวส์” ได้วิจารณ์เกี่ยวกับคดีเดอลอรีนไว้ว่า “แม้จอห์น เดอลอรีน จะอ้างว่าที่เขาทำลงไปก็เพื่อปกป้องดีเอ็มซี ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้เป็นที่น่าสงสัยไม่น้อย”...

บุคคลหนึ่งซึ่งเห็นด้วยกับลาแฟม ก็คือ วิลเลียม แฮดแดด อดีตรองประธานฝ่ายสื่อสารและการวางแผนของดีเอ็มซี เขาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวโดยไม่อ้อมค้อมว่า “ผมรู้ดีจอห์นจะพูดอะไร เมื่ออยู่ต่อหน้าการพิจารณาคดี เขาจะพูดว่า เขาทำทุกอย่างก็เพื่อคนงานชาวไอริชผู้นับถือศาสนาคาทอลิกที่น่าสงสารเหล่านั้น..นี่แหละ คือข้ออ้างของพวกเขาในศาล..งี่เง่าทั้งเพ ใครๆ ก็รู้ว่าจอห์นไม่เคยสนคนพวกนี้แม้เท่าขี้เล็บ สิ่งที่เขาแคร์สิ่งเดียวในโลกก็คือตัวเขาเอง”

แม้เรื่องราวของจอห์น เดอลอรีนจะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไปในทางลบเสียเป็นส่วนมาก ก็ยังมีนักวิชาการหลายคนให้ความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป อย่างเช่นศาสตราจารย์ ฮาร์เวิร์ด สตีเวนสัน ผู้เชี่ยวชาญการศึกษาเกี่ยวกับ “นักบุกเบิก” จากคณะบริหารธุรกิจมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เป็นต้น เขาชี้แจงว่า “ถ้าจะมองกว้างๆ พฤติกรรมของเดอลอรีนจัดอยู่ในรูปแบบหรือมาตรฐานซึ่งพอจะทำความเข้าใจและยอมรับได้ (ยังไม่ถึงขั้นวิปริตผิดปกติ) ...ความจริง ใครก็ตามซึ่งต้องลดตัวเองลงไปอยู่ในสถานการณ์แคบๆ และสามารถเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น มีแนวโน้มที่จะ “บ้าอำนาจ” ได้ง่ายๆ โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจ เขาจะถูกบีบบังคับให้กระทำในสิ่งที่ขัดกับความเป็นจริงอย่างที่สุดโดยไม่รู้ตัว”

สำหรับเดอลอรีนวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นดูจะเป็นบทเรียนที่ต้องจดจำไปจนตลอดชีวิต เขาเปิดเผยไว้ในตอนหนึ่งของหนังสือชื่อ “passages” ( เขียนโดย เกล ซี ไฮ) ว่า... “การต้องสลัดรูปแบบเก่าของตัวเองทิ้งไป เป็นเรื่องยากจริงๆ เพราะผมเคยชินกับความรู้สึกที่ว่า ชีวิตนักบริหาร คือหลักประกันความมั่นคง (ซึ่งจะขาดเสียไม่ได้) มาโดยตลอด”...

ก่อนจบก็ขอฝากข้อสรุปที่น่าฟังจากปากของซี. อาร์. บราวน์ อดีตรองประธานดีเอ็มซี และผู้ใกล้ชิดเดอลอรีนมากที่สุดไว้สักนิด... “ถ้าเพียงแต่จอห์นมองบริษัทฯ ของตัวเอง ตลอดจนผู้ให้การสนับสนุน อย่างเช่นรัฐบาลอังกฤษ ผู้ถือหุ้นอื่นๆ ไปจนถึงผู้ร่วมงานของเขาที่ดีเอ็มซี เป็นเสมือนหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ศัตรู เขาก็คงไม่ต้องเผชิญกับชะตากรรมเช่นนี้....ผมคิดว่าจอห์นต้องการจีเอ็มเกินกว่าที่คิดมากมายนัก มากเสียยิ่งกว่าจีเอ็มต้องการเขาเสียอีก”   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us