ทีโอเอเดินเครื่องเต็มลูกสูบเร่งขยายฐานตลาดต่างประเทศ ตั้งเป้าภายใน 5 ปี ต้องทำยอดขายให้ได้ 5,000 ล้านบาท หรือครึ่งหนึ่งของยอดขายในประเทศ เจาะประเทศตลาดใหม่ส่งเครื่องผสมสี TOA Color World วางประเทศในอาเซียน ประเดิม 50 เครื่อง ทุ่มเงิน 15 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายโรงงานในเวียดนามควบคู่เป็นงบทำการตลาด คาดทั้งปียอดขายโต 20% หรือ 8,400 ล้านบาท ยอมรับน้ำมันขึ้นกระทบต้นทุนเพิ่ม 20% พร้อมงัดแผนรับมือเศรษฐกิจชะลอตัว
นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ รองประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการรับผิดชอบสายงานต่างประเทศ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2548 บริษัทพร้อมที่จะเข้าไปขยายตลาดต่างประเทศอย่างเต็มที่ หลังจากก่อนหน้านี้เริ่มเข้าไปทดสอบตลาดและมีช่องทางที่บริษัทจะเติบโตในตลาดต่างประเทศได้เห็นได้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากระดับ 300 ล้านบาท ในปี 2546 เป็น 1,000 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา และคาดว่าในปีนี้จะมียอดขายประมาณ 1,000 ล้านบาท และได้กำหนดแผนระยะยาวภายใน 5 ปี ต้องสามารถสร้างยอดขายให้ได้ 5,000 ล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถทำได้ตามแผนที่วางไว้
โดยกำหนดกลยุทธ์ไว้หลายแนวทาง คือ 1.การสร้างแบรนด์ของผลิตภัณฑ์ในประเทศตลาดใหม่ใช้ผลิตภัณฑ์สีที่เป็นดาวเด่น (Star Product) ของบริษัทคือ Super Shield ,Super Shield Dur Aclean และ Shield All 2.การนำเครื่องผสมสี TOA Color World ซึ่งเป็นนวัตกรรมของการเลือกสีของทีโอเอไปติดตั้งในต่างประเทศอย่างเต็มที่ในเบื้องต้นประมาณ 50 เครื่อง เช่น เวียดนาม, จีน, มาเลเซีย พม่า และอยู่ระหว่างการตัดสินใจวางในประเทศกัมพูชา ซึ่งก่อนหน้านี้ได้วางเครื่องผสมสีเพียง 2-3 เครื่อง ในประเทศจีน เวียดนาม เป็นต้น และ 3.เตรียมงบไว้ 15 ล้านเหรียญสหรัฐ ในการขยายตลาด แบ่งเป็น 7 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มส่วนต่อขยายโรงงานในประเทศเวียดนาม คาดว่าก่อนสิ้นปีจะแล้วเสร็จและที่เหลือจะใช้ไปกับแผนการตลาด
"ตลาดต่างประเทศที่ทีโอเอเข้าไปหาก มีคู่แข่งอย่างบริษัท สีไอซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท นิปปอน เพนต์ (ประเทศไทย) จำกัด จะเข้าไปแข่งเพื่อแย่งส่วนแบ่งตลาดมาให้ได้แทนที่จะไปประเทศที่ไม่รู้จักคู่แข่ง ทำให้ตรงนี้ไม่สามารถประเมินกำลังของคู่แข่งได้ ขณะที่การส่งออกสีก็ยังเติบโตแต่การทำตลาดหลักๆในต่างประเทศ จะใช้ฐานในประเทศนั้นๆ ทำการตลาดมากกว่าซึ่งในปีจะเพิ่มตลาดส่งออกจาก 43 ประเทศเป็น 80 ประเทศ อย่างไรก็ตามพฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละประเทศจะมีความแตกต่างกันในการบริโภคทำให้ต้องปรับแผนใหม่หมดเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของแต่ละกลุ่ม อีกทั้งการบริโภคสีในต่างประเทศยังสูง เช่นประเทศพัฒนาจะมีการบริโภคสีถึง 20-40 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ขณะที่ของไทยประมาณ 5 กิโลกรัมต่อคนต่อปี" วนรัชต์ กล่าว
นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ กรรมการผู้จัดการรับผิดชอบสายงานในประเทศกล่าวถึงทิศทางของยอดขายในปีนี้ว่า ได้ตั้งเป้าปิดการขายประมาณ 8,400 ล้านบาท หรือเติบโตจากปี 2547 ประมาณ 20% จากที่ปิดการขายได้ 7,000 ล้านบาท ขณะที่ปี 2546 ปิดการขายได้ 5,400 ล้านบาท ส่วนแบ่งตลาดในปีนี้คาดจะเพิ่มเป็น 50% ของมูลค่าตลาดสีทาอาคารที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 12% จาก 10,000 ล้านบาท เพิ่มเป็น 11,200 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายของสีพรีเมียมเกรดเอของทีโอเอในปีที่ผ่านมามีมูลค่าถึง 1,000 ล้านบาท สูงถึง 10 เท่านับตั้งแต่ปี 2544 สำหรับยอดขายสีที่ผลิตจากศูนย์ผสมสีระบบคอมพิวเตอร์ TOAColor World ในปีที่ผ่านประมาณ 650 ล้านบาท และกว่า 50% เป็นสีระดับพรีเมียมเกรดนอกจากนี้บริษัทเตรียมที่จะเพิ่มเครื่องผสมสีจากที่มีอยู่ 450 เครื่องเป็น 600 เครื่อง ภายในปีนี้กระจายไปทั่วประเทศ
นายจตุภัทร์ กล่าวว่า ล่าสุดบริษัทได้ลงทุนซื้อโปรแกรมออกแบบสีบ้าน Ide@Color จากประเทศออสเตรเลีย ในส่วนนี้จะช่วยให้ลูกค้าสามารถประหยัดเวลา ในการเลือกซื้อสีได้รวดเร็วและเหมาะกับรูปแบบบ้านที่ลูกค้าต้องการ โดยบริษัทจะนำโปรแกรมเข้าไปเสริมในเครื่องผสมสีที่มีขณะนี้คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 13 ล้านบาท หรือ 30,000 บาท ต่อโปรแกรมสำหรับภาพรวมตลาดสีในประเทศคาดว่ายังเติบโตได้อย่างต่อเนื่องซึ่งฐานลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่เกือบ 90% จะเป็นรายย่อย ที่เหลือกระจายไปยังโครงการ ทั้งนี้ยอมรับว่าต้นทุนของบริษัทได้เพิ่มขึ้นตามทิศทางของราคาน้ำมันขณะนี้เฉลี่ย 20% โดยในช่วงเดือนมีนาคม 48 บริษัทได้ปรับราคาขายสีขึ้นอีก 5% เพื่อให้บริษัทและร้านค้าอยู่รอด แต่เป็นการปรับขึ้นไม่ครอบคลุมของต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทั้งหมด
ปรับองค์กรให้กระชับ ลดต้นทุน-เพิ่มกำไร
นายประวิทย์ อนันตวราศิลป์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า ปัจจัยเรื่องของราคา น้ำมันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้และบริษัทได้เตรียมความพร้อมมาตั้งแต่กลางปี 2547 แล้วโดยทำแผนการปรับโครงสร้างองค์กรให้กระชับเพื่อให้ง่ายต่อการบริหารจัดการภายใน หาวิธีที่จะประหยัดต้นทุนเพื่อให้สามารถรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวได้ และออกโปรแกรมแมเนจเมนต์ เทรนดิ้ง กับผู้บริหารรุ่นใหม่เป็นการวางรากฐานของผู้บริหารในอนาคต โดยคาดว่าจะมีผู้บริหารเข้ามาฝึกอบรม 12 คน ในเดือนมิ.ย.นี้
|