อีลิท การ์ดประกาศความพร้อม เปิดตัว 3 แพกเกจ ตั้งเป้าสิ้นปีมียอดสมาชิกเพิ่มอีก 2,000 ราย โกยเงินลงทุนและเงินหมุนเวียนเข้าประเทศได้อีกกว่า 10,000 ล้านบาท ขณะที่แผน 5 ปี คาดยอดสมาชิกเพิ่มเป็น 20,000 ราย ดึงเงินลงทุนได้มหาศาล ล่าสุดสมาชิกจากออสเตรเลีย และประเทศอื่นๆ เริ่มเซ็น MOU วางเม็ดเงินลงทุนไว้ที่ กว่า 20,000 ล้านบาท ในธุรกิจท่องเที่ยว และอื่นๆ เผยจับมือสถานทูตในต่างประเทศ ทำตลาดเชิงรุก ประเดิมในแถบเอเชีย ขณะที่รายงานผลสอบจัดซื้อสื่อ CNN ผู้ว่าฯททท. พ้นผิด ชี้เป็นเพียงความผิดระดับปฏิบัติการ
นายโชคศิริ รอดบุญพา ผู้จัดการใหญ่ บริษัทไทยแลนด์พริวิเลจ คาร์ด (ทีพีซี) หรืออีลิทการ์ด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมที่จะเปิดตัว
3 แพกเกจใหม่ ได้แก่ อีลิทคอนเนคชั่น, อีลิทโมเม้นท์ และอีลิทลีฟวิ่ง อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มิ.ย.นี้ ตั้งเป้ายอดขาย 2,000 ราย แบ่งเป็น 65% เป็นลูกค้าในประเทศเอเชีย อีก 35% มาจากกลุ่มประเทศยุโรป และหากแบ่งตามสัดส่วนแพกเกจของบัตรที่จะขายได้ คือ อีลิทคอนเนคชั่น 50% อีลิทโมเม้นท์ 40% และอีลิทลีฟวิ่ง 10% โดยสมาชิกจะเข้ามาใช้บริการในสถานบริการที่เป็นพันธมิตรได้ฟรีตามที่ตกลงไว้ จากเดิมที่จะให้เป็นส่วนลดที่พักและบริการเท่านั้น
ทั้งนี้ จากสมาชิกใหม่ 2,000 ราย ที่จะได้เพิ่มขึ้นในปีนี้ คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้เข้าประเทศไทยได้มากกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากการเข้ามาลงทุนของสมาชิกที่น่าจะมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะมาจากการจับจ่ายใช้สอยของสมาชิก ในระหว่างที่เข้ามาใช้บริการในสถานบริการที่เป็นคู่ค้าของอีลิท โดยที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน ทีพีซีมีสมาชิกแล้ว 824 ราย ซึ่งสมาชิกเหล่านี้ ได้นำเงินมาลงทุนแล้วกว่า 2,000 ล้านบาท ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จัดซื้ออุปกรณ์ประมง
"สถิติเมื่อปี 2547 สมาชิกบัตรอีลิทเข้ามาใช้บริการเป็นจำนวน 14,000 ครั้ง โดยเข้ามาใช้บริการสปา 34% ใช้บริการเจ้าหน้าที่สนามบิน 30% และใช้บริการสนามกอล์ฟ 22% ซึ่งเฉลี่ยวันพักของสมาชิกจะอยู่ที่ 7-11 วัน ใช้จ่ายเงิน 2-4 แสนบาทต่อคน หรือประมาณ 2.5-3.6 หมื่นบาทต่อวัน"
เป้า 5 ปีเพิ่มสมาชิก 20,000 ราย
อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งเป้าว่าในอีก 5 ปีจากนี้ไป จะมีสมาชิกเพิ่มเป็น 20,000 ราย ซึ่งนอกจากบริษัทจะมีรายได้จากการขายสมาชิก และการต่ออายุสมาชิก ซึ่งจะอยู่ประมาณรายละ 40,000 บาทต่อรายต่อปี ประเทศไทยยังจะได้ผลประโยชน์เรื่องของเม็ดเงินลงทุน และการจับจ่ายซื้อสินค้า ที่จะมาจากกลุ่มสมาชิก เพราะส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจระดับแนวหน้าอยู่แล้ว โดยล่าสุดมีสมาชิก และผู้ที่เตรียมจะเข้าเป็นสมาชิก ได้เซ็นบันทึกข้อตกลงเบื้องต้นเรื่องการลงทุน (MOU) เป็นมูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท ได้แก่ 1.โครงการพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ เป็นนักธุรกิจออสเตรเลียมาร่วมลงทุนกับเอสเอ็มอีไทย ระยะเวลาโครงการ 5 ปี 2.สมาชิกจากออสเตรเลีย เตรียมเข้ามาลงทุนโครงการสร้างโรงงาน 2 แห่ง เพื่อประกอบรถ มอเตอร์โฮม มูลค่า 2,000 ล้านบาท 3.โครงการโรงเรียนกอล์ฟสำหรับเยาวชน และจัดสร้าง อพาร์ตเมนต์หอพักสำหรับเยาวชน และ 4 โครงการไบโอเทคโนโลยี ซึ่งเป็นกลุ่มทุนประเทศฮ่องกง จะร่วมลงทุนกับโรงพยาบาลเอกชนของไทยมูลค่าโครงการ 100 ล้านบาท
จับมือสถานทูตทำตลาดเชิงรุก
นายโชคศิริ กล่าวว่า แผนการตลาดจากนี้ไป จะทำให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด และดำเนินการโดยขอความร่วมมือจากสถานทูต และสำนักงานท่องเที่ยวในต่างประเทศ ส่งรายชื่อและประวัติของลูกค้าเป้าหมายมาให้ตรวจสอบ ก่อนที่จะให้ตัวแทนเข้าไปนำเสนอสินค้า
"ประเทศเป้าหมายได้แก่ ฮ่องกง เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษ ซึ่งประเทศเหล่านี้ เรามีตัวแทนจำหน่ายอยู่แล้ว ขณะที่กลุ่มตะวันออกกลาง กำลังมองหาตัวแทนจำหน่ายอยู่"
ล่าสุด ในเดือนพ.ค. นี้ บริษัทเตรียมเดินสายแนะนำตัวกับสมาชิกเก่าและลูกค้าเป้าหมาย คือในวันที่ 20 พ.ค. จัดเลี้ยงดินเนอร์ที่ประเทศฮ่องกง วันที่ 27 พ.ค. จัดดินเนอร์ที่เกาหลี จากนั้นจะเดินสายต่อไปที่ประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์ เป็นต้น
สำหรับแนวทางการทำธุรกิจทีพีซีจะไม่ลงทุนในสิ่งปลูกสร้างมาก แต่จะเน้นพัฒนาพันธมิตรที่มีอยู่ให้ขึ้นมาเป็นพันธมิตรที่ถาวร พร้อมกับมองหาพันธมิตรที่บ่งบอกได้ถึงความเป็นอีลิทให้มีมากขึ้น ทั้งโรงแรมที่พัก และบริการต่างๆ เช่น โรงแรมแมนดาริน ดาราเทวี ชีวาศรม โอเรียนเต็ล ล่าสุดกำลังเจรจากับอามันบุรี ส่วนประเทศไทยจะต้องได้ประโยชน์ในเรื่องของเม็ดเงินลงทุน ซึ่งปี 2547 บริษัท มีรายได้ราว 700 ล้านบาท มีรายจ่ายอยู่ที่ 550 ล้านบาท ในที่นี้เป็นค่าใช้จ่ายเรื่องการให้บริการที่ 27 ล้านบาท หรือประมาณ 3% ของรายได้เท่านั้น
"จุฑามาศ" พ้นผิดซื้อสื่อ CNN
อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าผลสอบการจัดซื้อโฆษณาจาก CNN และสื่ออื่นๆ มูลค่า 149 ล้านบาท โดยไม่มีสัญญาจัดซื้อจัดจ้างนั้น ล่าสุด ผลสอบให้เป็นความผิดแค่ในระดับปฏิบัติการ ไม่เกี่ยวข้องกับนางจุฑามาศ ศิริวรรณ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริหารอีลิท การ์ด โดยทีพีซี ก็ได้ส่งคืนเจ้าหน้าที่จาก ททท. กลับไปยังหน่วยงานเดิม ขณะที่กับ CNN ก็ถอนคำฟ้องเรียกเก็บค่าโฆษณาออกไป
|