เอ็มดีบัตรกรุงไทยเผยเบื้องลึกของจิตใจ อย่ามองธุรกิจบัตรเครดิตเป็นซาตานแต่
เป็นบริการหนึ่งของสินเชื่บุคคลที่ลูกค้าเลือกใช้เงินในอนาคตมาสร้างชีวิตให้ดีขึ้น
กระตุ้นการใช้จ่าย
ระบุกลุ่มนักศึกษาจบใหม่รายได้เฉลี่ยจะอยู่ที่ 7,500 บาทต่อเดือน พร้อมบุกลูกค้าไม่มีรายได้ประจำแต่
มีศักยภาพที่จะชำระหนี้ นายนิวัตต์ จิตตาลาน กรรมการผู้จัดการ บริษัทบัตรกรุงไทย
จำกัด
เปิดเผยว่าการที่บริษัทลดฐานรายได้ผู้ถือบัตรลงมาเหลือ 7,500 บาทต่อเดือน
จะส่งผลให้ธนาคารสามารถออกเงื่อนไขผู้มีรายได้ขั้นต่ำ ซึ่งจุดเริ่มต้นของการกำหนดเกณท์ขั้นต่ำ
ดังกล่าว
เนื่องจากทางบริษัทประเมินจากนักศึกษาที่จบใหม่ในระดับปริญญาตรีจะมีรายได้ประจำขั้นต่ำ
ประมาณ 7,500 บาทต่อเดือนซึ่งจะช่วย ให้กลุ่มลูกค้า ดังกล่าวสามารถถือบัตรเครดิตได้
"จากที่บริษัทออกเกณท์ 7,500 บาทต่อดือนสามารถมาขอถือบัตรเครดิตธนาคารกรุงไทยได้ในช่วงที่ผ่านมาโดยในแต่ละวันมีประมาณ
8,000-10,000 ราย" นายนิวัตต์กล่าว
นอกเหนือจากกลุ่มเป้าหมายที่มีรายได้ประจำขั้นต่ำ 7,500
พันบาทต่อเดือนแล้วธนาคารยังให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพในการชำระหนี้คืนได้
ถึงแม้ว่าลูกค้ารายดังกล่าวจะไม่ได้มีอาชีพ ที่สะท้อนให้เห็นว่ามีรายได้ประจำ
เช่นกรณีมีอาชีพเป็นแม่บ้านแต่มีสามีเป็นนายแพทย์และเป็นผู้ดูแลค่าใช้จ่ายทุกอย่างภายในบ้านประมาณ
100,000บาทต่อเดือนก็สามารถที่จะเป็น
ผู้ถือบัตรเครดิตของธนาคารได้ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของทางการ
"ที่ผ่านมาระบบสินเชื่อบุคคลของประชาชนไทยค่อนข้างถูกละเลยไม่ได้รับความสนใจส่งผลทำให้ชีวิตโดยทั่วไปของประชาชนไม่ดีเท่าที่ควร
ประชาชนส่วนใหญ่ที่ต้องการมีชีวิตที่ดีขึ้นกลับต้องดิ้นรนไปหาสินเชื่อจากตลาดมืดที่มีดอกเบี้ยแพงมหาศาล
20-50% แต่หลังจากที่รัฐบาลโดยกระทรวง
การคลังและธปท.เห็นด้วยที่ประชาชนมีโอกาสที่จะใช้สินเชื่อบุคคลผ่านสถาบันการเงินมากขึ้นเพื่อที่ประชาชนไม่ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยแพงนอกระบบ
และการที่ธปท.ยกเลิกเพดานขั้นต่ำถือว่าเป็นการกระตุ้นให้มีสินเชื่อบุคคลเพิ่มขึ้น
เพราะบัตรเครดิตถือเป็นสินเชื่อบุคคลประเภทหนึ่ง" นายนิวัตต์ กล่าว
ในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างเช่น
สิงคโปร์ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของครอบครัวมีสูงเฉลี่ย 300% ขณะที่มีรายได้ประจำ
100% เท่านั้นเทียบกับประเทศไทยปัจจุบันแต่ละครอบครัวมียอด การใช้จ่ายจากสินเชื่อเพียง
50%
ขณะที่มีรายได้ประจำ 100% "ประเทศที่เจริญเหล่านั้นมองว่าสินเชื่อบุคคลมีความสำคัญในการที่จะสร้างให้วิถีชีวิตของประชาชนดีขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งเงินนอกระบบที่มีต้นทุนแพงกว่า
ดังนั้น
ถ้าประเทศไทยต้องการให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น ก็ควรต้องให้ความสำคัญกับสินเชื่อบุคคลมากขึ้น
ซึ่งประเทศที่พัฒนาเหล่านี้มองว่าการจะสร้างชีวิตให้ดีขึ้นก็อาจต้องพึ่งเงินในอนาคตซึ่งก็คือสินเชื่อ
ถ้ามัวแต่จะเริ่มเก็บสะสม เพื่อทำให้อนาคตดีขึ้นก็คงต้องใช้ระยะเวลานาน
ชีวิตของประชาชนเหล่านั้นคงต้องลำบากต่อไป " สำหรับเป้าหมายปีนี้ จะเพิ่มบัตรเครดิตเป็น
5 แสนบัตรอย่างแน่นอน
และคาดว่าในสิ้นปีหน้าทางบริษัทน่าจะขยายฐานบัตรเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านบัตร
ได้เช่นกันซึ่งถ้าเป็นไปตามเป้าหมายภายในปีนี้บริษัทจะมีฐานบัตรเครดิตมากที่สุดในประเทศไทย
สิ้นไตรมาสแรกปี45
ฐานบัตรของบริษัทเกือบ 3 แสน บัตร โดยต้นเดือนม.ค.เป็นต้นมา ฐานบัตรมีการขยายตัวค่อนข้างมาก
เฉลี่ยเดือนละ 30,000-40,000 บัตรต่อเดือน ส่วนยอดใช้จ่ายผ่านบัตรของธนาคาร
ณ สิ้นไตรมาส 1
ของปีนี้ อยู่ที่ 5.3 พันบาทต่อรายต่อเดือน และภายหลังจากการใช้โปรโมชั่น
กระตุ้นคาดว่าจะทำให้ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของระบบ
ด้านยอดการชำระหนี้ของลูกค้าประมาณ 30%
จะเป็นการทยอยชำระหนี้ 10% อีก 70% ที่เหลือเป็นการจ่ายชำระทั้งหมด ไม่ห่วงความเสี่ยง
มั่นใจระบบตรวจสอบ นายนิวัตต์
กล่าวการลดฐานรายได้ผู้ถือบัตรคงไม่ได้ส่งผลในเรื่องของความเสี่ยงต่อบริษัท
เนื่องจากบริษัทมีข้อมูลของลูกค้าค่อนข้างมากในการที่จะตรวจสอบได้ว่าลูกค้ากลุ่มใดมีความเสี่ยงมากน้อยขนาดไหน
ขณะที่ในปัจจุบันระบบการให้เครดิตของสถาบันการเงินก็มีการจัดตั้งเครดิตบูโรขึ้นมา
ซึ่งภายหลังจากที่ลูกค้าส่งหลักฐานขอบัตรเครดิตแล้วทางบริษัทก็สามารถตรวจสอบลูกค้าว่ามีประวัติเป็นอย่างไรบ้าง
และล่าสุดสามารถตรวจสอบได้ทั้งทางที่ดีและไม่ดีของลูกค้าก่อนอนุมัติ
มั่นใจว่าจะสามารถควบคุมด้านวงเงินให้กับลูกค้าได้ตามศักยภาพที่จะชำระได้
ซึ่งเชื่อว่าจากที่มีเครดิตบูโรดังกล่าว จะทำให้ลูกค้าผู้ถือบัตรไม่ผิดวินัยชำระหนี้
ไม่เช่นนั้นลูกหนี้สร้างประวัติไม่ดีเอาไว้จะไม่สามารถที่จะขอสินเชื่อประเภทอื่น
ๆจากสถาบันการเงินได้อีกหรือได้ก็จะถูกชาร์จดอกเบี้ยที่แพงกว่าปกติเพราะถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
"ไม่อยากให้ทุกคนมองว่าบัตรเครดิตเป็นเรื่องของซาตานว่าจะเป็นผู้ทำให้ระบบการใช้จ่ายเกิดการฟุ่มเฟือย
หรือจะเกิดการสร้างหนี้เสียให้กับระบบควรจะมองว่าบัตรเครดิต ก็คือสินเชื่อบุคคลประเภทหนึ่งที่ประชาชนเอาเงินอนาคตมาสร้างทำให้ชีวิตดีขึ้นไม่ใช่เป็นการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยที่จะทำให้ระบบมีภาวะเงินเฟ้อเกิดขึ้น
แต่ในทางกลับกันถ้าเราให้ความสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการกระตุ้นใช้จ่ายในประเทศ
หากมีการบริโภคเพิ่มขึ้น จะเกิดการจ้างงานมากขึ้นแทนที่เราจะหวังการส่งออกกระตุ้นเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว"