สรรพสิ่งมีเกิด เสื่อม และดับสูญ...
เรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งในยุโรปในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในแวดวงสื่อสารมวล
ชน เห็นจะหนีไม่พ้นเรื่องการล่มสลายของอาณาจักรเคียร์ชแห่งเยอรมนี ทั้งนี้
เนื่อง จากไม่สามารถหาเงินมาใช้หนี้จำนวนมหาศาลได้
เลโอ เคียร์ช (Leo Kirch) เป็นเจ้าแห่งอาณาจักรเคียร์ช
โดยทั่วไป คนไทยมักจะไม่คุ้นกับนักธุรกิจเยอรมันเท่าใดนัก
แต่สำหรับเคียร์ชแล้ว คนไทยส่วนหนึ่ง รู้จักชื่อนี้ดี เพราะ Kirch Media
เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์การถ่ายทอดฟุตบอลโลก (World Cup) ปีนี้ และในปี 2549
แต่การล้มละลายของ KirchMedia ก็ไม่ส่งผลกระทบถึงลิขสิทธิ์ดังกล่าว เนื่องจากได้มีการโอนสิทธิ์ดังกล่าวให้กับ
Kirch Sport ในสวิตเซอร์แลนด์เรียบร้อยแล้ว
แม้การล่มสลายของอาณาจักรเคียร์ชจะอื้อฉาว แต่เจ้าของอาณาจักรวัย 75 ปี
ก็ยังคงเป็นที่รู้จักของสาธารณชนน้อยมาก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ อิทธิพลของเคียร์ชก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ารูเพิร์ต
เมอร์ด็อก (Rupert Murdoch) แห่งนิวส์ คอร์ป (News Corp.) หรือเท็ด เทอร์
เนอร์ (Ted Terner) ผู้ก่อตั้งซีเอ็นเอ็น (CNN)
******
เลโอ เคียร์ช เริ่มสร้างอาณาจักรของ เขาเมื่อ 48 ปีก่อน
เคียร์ชเป็นลูกชายของพ่อค้าเหล้าองุ่น...
ปี 2499 เคียร์ชได้หยิบยืมเงินจากครอบครัวของภรรยา ไปซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์
อิตาลีเรื่อง "La Strada" ของเฟเดรีโก เฟลลีนี (Federico Fellini) ปรากฏว่าได้รับความนิยมอย่างมาก
และหนังของเฟลลีนีกลายเป็น หนังคลาสสิกของยุโรป หลังจากนั้นเขาก็กว้าน ซื้อภาพยนตร์จากหลายต่อหลายแห่งมาเก็บสะสมไว้
จนได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของห้องสมุดภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุด นอกสหรัฐอเมริกา
ปี 2502 เคียร์ชตั้งบริษัทจัดจำหน่าย Beta Film และ 4 ปีต่อมา ก็ได้ก่อตั้ง
Taurus Film ซึ่งต่อมาเติบใหญ่กลายเป็นบริษัทสร้างภาพยนตร์และผลิตรายการโทรทัศน์ที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนี
พอถึงปี 2512 KirchGruppe ได้ซื้อ Howard Hughes/RKO Library ซึ่งมีภาพยนตร์เรื่อง
"King Kong" และ "Citizen Kane" รวมอยู่ด้วย และต่อมาในปี 2514 เขาก็ได้ซื้อ
Hal Roach Library พร้อมกับซีรีส์ Laurel and Hardy อันโด่งดัง
ปี 2531 Kirch Gruppe ได้ตัดสินใจซื้อโทรทัศน์ช่อง SAT.1 และหลังจากนั้นอีก
3 ปี ก็ได้เริ่มธุรกิจโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิกของกลุ่มเคียร์ช ซึ่งรู้จัก
กันในนามของ Premiere กระทั่งปี 2542 BSkyB ของเมอร์ด็อก ก็ได้มาซื้อหุ้นของ
Kirch PayTV ไว้ 24 เปอร์เซ็นต์
ปี 2543 เคียร์ชได้ก่อตั้ง Kirch Media Entertainment ขึ้น เพื่อพัฒนารายการ
ผลิตรายการ และดำเนินงาน ด้านการตลาด และในปี 2544 Kirch Media ก็ได้ครอบครองลิขสิทธิ์ถ่ายทอดการแข่งขันฟุตบอลโลก
และการแข่งขันรถ Formula One
เคียร์ชร่ำรวยจากการซื้อภาพยนตร์ ฮอลลีวูดมาขายให้กับสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลเยอรมัน
จนได้ชื่อว่ามีสายสัมพันธ์ที่ดียิ่งกับฮอลลีวูด ชนิดที่ยากจะหานักธุรกิจเยอรมันคนใดเทียบได้
แม้ว่าช่วงที่ผ่านมา เขาจะเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่เคียร์ชชอบที่จะเก็บตัวเงียบ
โดยเฉพาะไม่ค่อยยอมให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ซึ่ง ผิดกับบรรดาผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงสื่อคนอื่นๆ
มีคนใน KirchGruppe บอกถึงสาเหตุที่เคียร์ชไม่ค่อยชอบคบหากับสื่อว่า สืบเนื่องมาจากตอนที่เขาซื้อภาพยนตร์ฮอลลีวูดมาขาย
เขาไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเขาซื้อมาเท่าไร และขายไปในราคาเท่าไร จนในที่สุด
การเก็บตัวจากสื่อได้กลายเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจของเคียร์ช
เคียร์ชให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิตของเขา
ด้วยเหตุนี้ เคียร์ชจึงกลายเป็นนักธุรกิจลึกลับ!
ไม่มีใครรู้ว่า เคียร์ชบริหารอาณา จักรของเขาอย่างไร หรือว่าเขายังคงบริหาร
มันอยู่หรือไม่!
เมื่อสื่อมวลชนเจอหน้าผู้บริหาร ของ KirchGruppe จึงมักจะมีคำถามถึงเคียร์ชในเรื่องบทบาทของเขาอยู่เสมอ
เมื่อ ปีที่แล้ว คำตอบที่ได้ยืนยันว่า เคียร์ชยังคง ไปทำงานเป็นประจำ พร้อมกับแลกเปลี่ยน
ความคิดเห็นในเชิงยุทธศาสตร์ธุรกิจกับ ผู้บริหารคนอื่นๆ ทุกวัน
นักข่าวของหนังสือพิมพ์ไฟแนน เชียลไทมส์ (Financial Times) ที่ได้มีโอกาสพบหน้าเคียร์ชในที่ทำงานเมื่อปลายปีที่แล้ว
บรรยายภาพของนักธุรกิจอาวุโสผู้นี้ไว้ว่า...
เคียร์ชแต่งเนื้อแต่งตัวสบายๆ สไตล์ ชาวบาวาเรีย เขาไม่ติดกระดุมคอเสื้อเชิ้ต
ขณะที่ผูกเนกไทแบบหลวมๆ สวมเสื้อแจ็กเกตและกางเกงสีเทา ส่วนรองเท้าก็เป็นรองเท้าแตะชนิดที่เรียกกันว่า
orthopaedic slippers
เคียร์ชไม่พูดภาษาอังกฤษ...
นักธุรกิจเยอรมันผู้นี้ชอบที่จะนั่งหันหลังให้หน้าต่าง ทั้งนี้ เพราะเขาเป็นโรคเบาหวานซึ่งส่งผลต่อสายตา
จนทำให้เขาไม่ชอบ ที่จะต้องเจอกับแสงสว่าง!
ความสำเร็จของเคียร์ช ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากวิสัยทัศน์ทางธุรกิจของเขา แต่อีกส่วนหนึ่งมาจากการที่เขาเป็นส่วนหนึ่งของ
"Deutschland AG" หรือกลุ่มธนาคาร รัฐบาล และธุรกิจขนาดใหญ่ที่กุมเศรษฐกิจของเยอรมนี
เป็นที่ทราบกันดีว่า เคียร์ชมี ความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับอดีตนายกรัฐมนตรี
เฮลมุท โคล (Helmut Kohl) ของเยอรมนี
ไม่ใช่ว่าเคียร์ชจะไม่เคยประสบปัญหาด้านการเงินมาก่อน แต่เขาก็สามารถผ่านวิกฤติมาได้ทุกครั้ง
ด้วยพลังแห่งอำนาจของเครือข่ายทางธุรกิจและการเมืองที่เขามี อยู่ แต่ไม่ใช่ครั้งนี้!!
ปัจจัยหลักที่ทำให้อาณาจักรเคียร์ชต้องล่มในครั้งนี้อยู่ที่ KirchPayTV
ซึ่งขาดทุน ถึงวันละ 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากยาก ที่จะหาสมาชิกได้มากพอที่จะคุ้มกับค่าลิขสิทธิ์
ราคาแพง ไม่ว่าจะเป็นค่าลิขสิทธิ์รายการกีฬา หรือภาพยนตร์ โดยเฉพาะเคียร์ชมีนิสัยชอบทุ่มซื้อลิขสิทธิ์ต่างๆ
ในราคาที่แพงลิบลิ่ว...
ก่อนหน้านี้ ไม่มีใครคิดว่า เคียร์ชจะมีหนี้มหาศาลหมกอยู่...
KirchMedia เป็นหนี้ธนาคารอยู่ประมาณ 1 พัน 2 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนั้น
ยังเป็นหนี้บรรดา "ขาใหญ่" ทั้งหลายในฮอลลีวูดอีก 440 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้ง
Viacom Inc., AOL Time Warner ตลอดจน Columbia และ Disney. แต่ถ้า หากรวมทั้งเครือ
KirchGruppe แล้ว มีหนี้สินอยู่ถึง 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
เคียร์ชพูดถึงการเกิดและการดับของอาณาจักรเคียร์ชเอาไว้ว่า...
พระเจ้าประทานให้และพระเจ้าทรงเอากลับคืนไป!
******
เมื่อปลายปีที่แล้ว เคียร์ชเคยพูดถึงการล้มละลายกับสื่อมวลชน โดยอ้างถึงเรื่องตลกเก่าแก่เรื่องหนึ่ง...
ชายคนหนึ่งได้ปรารภกับเพื่อนว่า เขาต้องตายแน่! เพื่อนจึงปลอบใจไปว่า จะแย่ยิ่งกว่านั้นถ้าหากต้องล้มละลาย
แต่สำหรับเคียร์ชแล้ว เขากลับมองต่างมุมออก ไปว่า ถึงแม้มีคนพูดว่าเขาล้มละลาย
แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ตาย!
ครั้งนั้น ผู้ใกล้ชิดรีบแก้กับสื่อ มวลชนว่า เคียร์ชเพียงพูดเล่น!
ในที่สุด เคียร์ชก็ต้องเผชิญกับ ภาวะล้มละลาย...
และเขายังมีชีวิตอยู่!