ในโลกยุค digital ที่ผู้คนถูกเชื่อมโยงเข้าหากันด้วยเครือข่ายสารสนเทศ อุปกรณ์ที่มีพื้นฐานจากคอมพิวเตอร์
ทวีความสำคัญ ขณะที่การพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ได้กลายเป็นวาทกรรมในแวดวงการศึกษาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
แต่เมื่อพิจารณาจากหลักสูตรระดับอุดมศึกษา ความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวดังกล่าว
ดูเหมือนจะเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ และยังมีความไม่ชัดเจนในทิศทางอีกมากเช่นกัน
ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโน โลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
(มจธ.) เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจอีกกรณีหนึ่ง ที่สะท้อนกระบวนทัศน์ในการจัดวางหลักสูตร
เพื่อตอบสนองต่อการเติบโตขึ้นของระบบคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งคาดหมายกันว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศไปสู่โลกยุคใหม่
การเกิดขึ้นของภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มจธ. ในปี 2530 มีลักษณะที่ไม่แตกต่างจากพัฒนาการของภาควิชาดังกล่าวในสถาบันการศึกษาแห่งอื่นๆ
ที่ล้วนแต่มีรากฐานมาจากภาควิชาวิศวกรรม ไฟฟ้ามากนัก อันเป็นผลมาจากวิวัฒนาการ
ขององค์ความรู้พื้นฐานทางวิศวกรรมไฟฟ้า ที่ได้งอกเงยและข้ามกลายไปเป็นพื้นฐานในความรู้ว่าด้วยอิเล็กทรอนิกส์
ก่อนที่จะเคลื่อนสู่การสร้างอุปกรณ์ที่เรียกว่า คอม พิวเตอร์ในปัจจุบัน
จุดที่น่าสนใจประการหนึ่ง ที่สะท้อนให้เห็นความสับสนและความล้มเหลวในเชิงของการจัดวางนโยบายการศึกษา
และแนวทางในการพัฒนาประเทศ น่าจะอยู่ที่ข้อเท็จจริงว่าด้วยการก่อตั้งภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
มจธ. เมื่อต้น ปี 2531 โดยโครงการจัดตั้งดังกล่าวมิได้อยู่ในแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดม
ศึกษา ฉบับที่ 6 (2530-2534) และแผนปฏิบัติการประจำปีงบประมาณ 2531 แต่อย่างใด
ปรากฏการณ์ในลักษณะดังกล่าวอาจได้รับการนิยาม ในฐานะที่เป็นข้อขัดข้องทางเทคนิควิธีของระเบียบราชการ
แต่ในความเป็นจริง กรณีเช่นนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งในอีกหลายกรณีของการไม่สอดประสาน
และการขาดวิสัยทัศน์ในการจัดหลักสูตรทางการศึกษา ทั้งที่ควรจะเป็นประเด็นที่ได้รับความสำคัญในระดับต้นๆ
ในฐานะที่เป็นองค์ประกอบหลักในยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากพิจารณาถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคมจากสังคมเกษตรกรรม
ไปสู่การเป็นสังคมอุตสาหกรรมและสังคมสารสนเทศ ซึ่งเป็นประเด็นร้อนของสังคมไทยในห้วงเวลาดังกล่าวแล้ว
กล่าวได้ว่านี่เป็นตัวอย่างของความล้มเหลวในการกำหนดยุทธศาสตร์ประเทศอีกครั้งหนึ่ง
"การจัดวางบทบาทหน้าที่ระหว่างหน่วยงานของรัฐ ขาดความชัดเจน ขณะที่ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมของไทยพึงใจที่จะเป็นผู้บริโภค
ด้วยการซื้อและรับนวัตกรรม และเทคโนโลยีต่างๆ มากกว่าที่จะคิดสร้าง และเป็นเจ้าของเทคโนโลยีเอง
ซึ่งเมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจจึงทำให้มีผลกระทบรุนแรง เพราะสังคมธุรกิจและอุตสาหกรรมของไทยไม่มีพื้นฐานที่แท้จริงรองรับ"
ดร.บุญเจริญ ศิริเนาวกุล อดีตหัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มจธ. ชี้ให้เห็นความสำคัญของการพัฒนาหลักสูตรวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
ไว้อย่างน่าสนใจ
สอดคล้องกับปรัชญาและวัตถุ ประสงค์ของหลักสูตรปริญญาตรี ที่ระบุว่า เพื่อผลิตบัณฑิตวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
ที่มีความรู้ด้านสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ ทั้งด้าน hardware และ software
ตอบสนองความต้องการทั้งภาครัฐและเอกชน และการส่งเสริมการวิจัยพัฒนาที่ใช้คอม
พิวเตอร์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในภาคอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ดี เส้นแบ่งระหว่างวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ (Computer Enginerring)
วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ (Computer Science) และเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information
Technology) ดู จะมีความซ้ำซ้อนและใกล้เคียงกันจนหลายครั้งก่อให้เกิดความสับสนไม่น้อย
"ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสามวิชามีเส้นแบ่งที่ชัดเจนพอสมควร ในลักษณะที่
วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ เป็นการศึกษาในเชิงทฤษฎีและวิชาการ ขณะที่วิศวกรรม
คอมพิวเตอร์ จะเน้นที่วิวัฒนาการของเทคโนโลยีและการปรับปรุงแก้ไขดัดแปลง
ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นการศึกษาในฐานะผู้ใช้งานเป็นหลัก"
ดร.บัณฑิต ทิพากร หัวหน้า ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ พยายามชี้ให้เห็นความแตกต่าง
แม้ว่าโดยหลักการ หลักสูตรของวิชาการทั้ง 3 แขนงจะมีความแตกต่างกัน แต่ปรากฏว่าในโลกของตลาดแรงงานที่เป็นจริง
ผู้สำเร็จการศึกษาก็เผชิญกับปัญหาความชัดเจนในการประกอบอาชีพอยู่ไม่น้อย
"ตลาดแรงงานและผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อย ยังขาดความเข้าใจในบทบาทและหน้าที่ของบัณฑิต
และองค์ความรู้ที่บัณฑิตจากทั้ง 3 แขนงวิชามีทำให้ในหลายกรณีมีการจ้างบัณฑิตวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
ไปทำหน้าที่ของผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากเทคโนโลยีสารสนเทศ ภายใต้ความเชื่อผิดๆ
ที่คิดว่ามีวิศวกรคอม พิวเตอร์อยู่ในสำนักงานจะได้ประโยชน์กว่า ซึ่งในความเป็นจริงประโยชน์จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมอบหมายงานที่ถูกต้องให้วิศวกรต่างหาก"
ดร.บุญเจริญ ศิริเนาวกุล ชี้ให้เห็นปัญหา
ความไม่ชัดเจนของระบบการจ้างงานมิได้เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะในแวดวงธุรกิจเอกชนเท่านั้น
หากแต่ บทบาทหน้าที่ของหน่วยงานรัฐในการจัดการและพัฒนาระบบสารสนเทศ และคอมพิวเตอร์
ก็อยู่ในสภาพที่ไม่แตกต่างกันมากนัก
"ปัญหาหลักน่าจะอยู่ที่ความชัดเจน ในแนวนโยบายและการส่งเสริมของภาครัฐ
ในการนำผลงานการวิจัยทางวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่อย่างมากมาย ไปพัฒนา
และเผยแพร่ให้เกิดผลต่อสังคมวงกว้าง ซึ่งนอกจากจะส่งเสริมให้เกิดความตื่นตัวในการศึกษาและคิดสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ
แล้ว ยังเป็นการเสริมสร้างให้บุคลากรในแต่ละระดับเข้าใจบทบาทและให้ความสนใจในการผลิตงานวิจัย
มากกว่าที่จะหยุดหรือพึงใจที่จะเป็นผู้ใช้ดังที่ปรากฏในปัจจุบัน" ทั้ง ดร.บุญเจริญ
และดร.บัณฑิต ซึ่งต่างเป็นหัวแรงสำคัญในการพัฒนาหลักสูตรของภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
ร่วมแสดงทัศนะในการพัฒนางานวิจัยเกี่ยวกับวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ไว้อย่างน่าสนใจ
ในทัศนะของพวกเขา ประเด็นว่าด้วยเงินงบประมาณ เพื่อสนับสนุนการวิจัยไม่ใช่ปัญหาหลักในการพัฒนางานวิจัย
หากแต่ทำอย่างไรที่จะเกิดสะพานเชื่อมระหว่างหน่วยงานวิจัย และภาคอุตสาหกรรมเอกชน
เพื่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้างมากกว่าที่เป็นอยู่
"บุคลากรในแวดวงการศึกษามีความสามารถที่จะผลิตผลงานการวิจัย ซึ่ง ที่ผ่านมา
มจธ. มีผลงานการวิจัยในระดับมาตรฐานสากลมากกว่า 90 ชิ้นต่อปี ขณะ ที่เทคโนโลยีหลายประการสามารถผลิตขึ้นใช้ได้เองภายในสังคมมหาวิทยาลัย
แต่ผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรม กลับต้องพึ่งพาการซื้อหาเทคโนโลยีเหล่านี้จากต่างประเทศในราคาที่แพงอย่างที่ไม่ควรจะเป็น"
การพัฒนาหลักสูตรเป็นอีกส่วนหนึ่ง ที่ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะเป็นการขยายหลักสูตรปริญญาโท และเอกภาคภาษาอังกฤษ ภายใต้ความมุ่งหมายที่จะผลิตบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในระดับสากลมาในช่วงก่อนหน้านี้
ล่าสุดในปีการศึกษาที่ผ่านมา ภาควิชาวิศวกรรมคอม พิวเตอร์ ได้เปิดรับนักศึกษาปริญญาตรีภาค
พิเศษ ในหลักสูตรนานาชาติ เพิ่มเติมขึ้นอีกหลักสูตรหนึ่งด้วย
ดร.บุญเจริญ กล่าวถึงหลักการในการเปิดหลักสูตรนานาชาติว่า ในสถานการณ์ของโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน
บัณฑิตวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เป็นอย่างดีและจะต้องมีความสามารถทางภาษา
สำหรับการปฏิสัมพันธ์กับประชาคมวิชาการและวงการอุตสาหกรรมระดับนานาชาติในอนาคต
ความพิเศษของหลักสูตรนานาชาติ ดังกล่าวอยู่ที่การเป็นหลักสูตรทวิปริญญา
โดยนักศึกษาที่เรียนจบชั้นปีที่ 2 และมีผลการเรียนไม่ต่ำกว่า 2.75 สามารถเลือกที่จะเดินทางไปศึกษาต่อจนจบหลักสูตรใน
University of Missouri-Columbia ประเทศสหรัฐอเมริกา และรับวุฒิปริญญาตรีจากทั้งสองสถาบัน
หรือเลือกที่จะศึกษาต่อในมจธ. จนสำเร็จการศึกษาและรับปริญญาวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิตจาก
มจธ.ต่อไป
สำหรับค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียนในระดับปริญญาตรีวิศวกรรมคอมพิวเตอร์หลักสูตรนานาชาตินี้
อยู่ในระดับประมาณ 1.3-1.5 แสนบาทต่อปี โดยแบ่งเป็นค่าบำรุง การศึกษาปีละ
50,000 บาท และค่าหน่วย กิตในแต่ละวิชาที่ลงทะเบียนเรียนอีก หน่วยกิตละ 2,400
บาท ปีละประมาณ 38 หน่วยกิต
ดร.บัณฑิต ซึ่งในอดีตเป็นนักศึกษา ปริญญาตรีในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาไฟฟ้า
ของ มจธ. ก่อนที่จะศึกษาต่อในระดับปริญญาโทและเอกใน University of Missouri-Columbia
สหรัฐอเมริกา ระบุว่า สิ่งที่จะได้จากการเปิดหลักสูตรนานาชาติเช่นนี้ ในด้านหนึ่งนอกจากจะเป็นการสร้างให้เกิด
recognition ในหลักสูตรที่ได้มาตรฐานในระดับสากลของภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
มจธ. แล้ว นักศึกษา ยังมีโอกาสในการได้รับประสบการณ์จากการไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยน
ในสถาบันการศึกษาชั้นนำในต่างประเทศด้วย
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากเงินค่าใช้จ่ายสำหรับหลักสูตรนานาชาติ ที่แม้จะเพิ่มขึ้นจากหลักสูตรกว่าปกติในสัดส่วน
ประมาณ 4-5 เท่าตัวแล้ว พวกเขายังเชื่อว่านักศึกษาจำนวนไม่น้อยจะยังให้ความสนใจ
เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับการเดินทางไปศึกษาในต่างประเทศตลอดหลักสูตร แล้ว
จะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นกว่านี้อีกมาก
"ต้องเข้าใจก่อนว่านักศึกษาที่เข้ามาเรียนในหลักสูตรนี้ มิได้รับเงินช่วยเหลือ
จากงบประมาณของรัฐเหมือนหลักสูตร อื่นๆ ทำให้สถาบันต้องเก็บค่าใช้จ่ายในอัตราที่เกิดขึ้นจริง
ซึ่งนักศึกษาและผู้ปกครองที่สมัครเข้าศึกษาในหลักสูตรนี้ส่วนใหญ่ มีแนวโน้มที่จะเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศอยู่แล้ว
การเปิดหลักสูตรเช่นนี้จึงเป็นการวางพื้นฐานก่อนจะไปศึกษาต่อในต่างประเทศ
และเป็นการช่วยประหยัดเงินอีกทางหนึ่ง"
กระนั้นก็ดี ประโยชน์จากการประหยัดค่าใช้จ่ายในการศึกษาอาจเป็นกรณีที่มีคุณูปการน้อยกว่าความสามารถ
ที่จะพัฒนาหลักสูตรและการผลิตวิศวกรคอมพิวเตอร์ ที่มีทัศนะก้าวหน้าในมิติของการสร้างสรรค์เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ
สำหรับเป็นฐานของการพัฒนาประเทศในอนาคตอย่างไม่อาจเทียบได้