นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงธุรกิจบริการและธุรกิจให้เช่าว่า บริษัทได้วางแผนในการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากค่าเช่าและบริการ ซึ่งมีทั้งโรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์ และอาคารสำนักงาน โดยในช่วง 3 ปีนับจากนี้ตั้งเป้าเพิ่มรายได้จากค่าเช่าและบริการให้อยู่ที่ระดับ 30% ของรายได้ทั้งหมด จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 20% หรือประมาณ 2,000 ล้านบาท และภายใน 5 ปีข้างหน้าตั้งเป้าเพิ่มรายได้ให้อยู่ที่ระดับ 50% ของรายได้ทั้งหมด
สำหรับธุรกิจการบริการดังกล่าวนั้น ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างหาทำเลหรือโครงการที่จะเข้าไปลงทุน โดยสามารถเป็นได้ทั้งโครงการสร้างใหม่หรือเป็นการเข้าไปซื้อกิจการ ซึ่งจะพิจารณาการลงทุนจากผลตอบแทนที่จะได้รับต้องไม่ต่ำกว่า 5-6% ในกรณีที่โครงการนั้นๆ อยู่ในทำเลที่มีศักยภาพหรือมีการท่องเที่ยวที่ดีในอนาคต หากเป็นโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ไม่มีศักยภาพมากพอก็จะต้องให้ผลตอบที่สูงกว่า
"บริษัทคาดว่าจะใช้เม็ดเงินลงทุนในธุรกิจให้เช่าและบริการประมาณ 10,000 ล้านบาท ส่วนแผนการลงทุนในธุรกิจข้างต้นนั้นยังไม่ได้ข้อสรุป ตอนนี้ดูไปเรื่อยๆ มองที่จังหวัดท่องเที่ยวและเป็นเมืองที่มีศักยภาพ แต่หากทำเลไม่มีศักยภาพก็จะต้องได้ผลตอบแทนที่สูง ไม่จำกัดว่าเป็นการเทกโอเวอร์หรือสร้างใหม่ โดยในช่วง 3 ปีนี้น่าจะขึ้นโครงการใหม่ประมาณ 1-2 โครงการ" นายเศรษฐากล่าว
นายเศรษฐา กล่าวว่า ภายหลังจากที่บริษัทฯ ได้ลงทุนซื้อกิจการของโรงแรมโซฟิเทล สีลม กรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี 2545 และได้ว่าจ้างให้กลุ่มแอคคอร์ (Accor) จากประเทศฝรั่งเศส เป็นผู้ดำเนินการบริหารงานให้ โดยมีการปรับปรุงสภาพการตกแต่งภายในให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทำให้มีผู้เข้าพักและใช้บริการที่โรงแรมอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปี 2547 มีอัตราการเข้าพักอาศัยในโรงแรมเฉลี่ยต่อปี (Occupancy Rate) มีสัดส่วนสูงถึง 90% ในขณะที่อัตราค่าเช่าห้องพักเฉลี่ยต่อปี (Average Room Rate) 2,150 บาทต่อคืนต่อห้อง และสามารถสร้างผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงานประมาณ 140 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 73% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้ ซึ่งในปัจจุบันบริษัทได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในโรงแรมดังกล่าวประมาณ 8%
กลุ่มแอคคอร์ เป็นกลุ่มธุรกิจบริหารด้านการโรงแรม การท่องเที่ยว และการบริการที่ใหญ่ที่สุดในโลก และดำเนินธุรกิจหลัก 2 ประเภทได้แก่ การโรงแรมและการบริการ โดยกลุ่มแอคคอร์ มีโรงแรมในเครือกว่า 4,000 แห่ง ใน 140 ประเทศทั่วโลก รวมห้องพักกว่า 400,000 ห้อง และในปี 2546 ที่ผ่านมา กลุ่มแอคคอร์มีรายได้จากการขายและบริการรวมทั้งสิ้นประมาณ 6,800 ล้านยูโร ส่วนการเข้ามาบริหารงานให้กับโรงแรมโซฟิเทล สีลม กรุงเทพฯ ของกลุ่มแอคคอร์นั้น เริ่มตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมา โดยโรงแรมโซฟิเทล สีลม กรุงเทพฯ เป็นโรงแรมระดับ 5 ตัวอาคารสูง 38 ชั้น มีห้องพักทั้งสิ้น 454 ยูนิต 30 ห้องสูทและ 2 ห้องอีโมชั่นสวีท
ทั้งนี้ในปี 2548 มีการวางแผนไว้ว่า โรงแรมโซฟิเทล สีลม จะคงอัตราการเข้าพักอาศัยในโรงแรมต่อปี (Occupancy Rate) ในสัดส่วน 85-90% ในขณะที่สามารถปรับอัตราค่าเช่าห้องพักเฉลี่ยต่อปี (Average Room Rate) เพิ่มเป็น 2,400 บาทต่อคืนต่อห้อง ซึ่งจะทำให้สามารถสร้างผลกำไรสุทธิประมาณ 160 ล้านบาท หรือขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 15% ส่วนในปี 2549 คาดว่าจะมีอัตราอัตราการเข้าพักเฉลี่ยที่คงสัดส่วน 85-90% เช่นกัน โดยอัตราคาเช่าห้องพักเฉลี่ยต่อปีน่าจะเพิ่มขึ้นถึง 3,000 บาทต่อห้องต่อคืน ซึ่งจะส่งผลให้สามารถทำกำไรสุทธิได้ถึง 190 ล้านบาท
"การที่แสนสิริให้แอคคอร์มาบริหารโรงแรม โซฟิเทล สีลม ตลอดช่วงที่ผ่านมา สามารถสร้างผลการดำเนินงานได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้หากคิดกลับกันว่า การลงทุนในธุรกิจโรงแรมหรือธุรกิจบริการอื่นๆ ใดๆ เพื่อให้ได้ผลตอบแทน (Yield) ประมาณ 5% หรือสร้างผลกำไรสุทธิให้ได้ประมาณ 160 ล้านบาท ต้องใช้เงินลงทุนซื้อธุรกิจที่มีขนาดสินทรัพย์ประมาณ 3,200 ล้านบาท ยิ่งเมื่อเทียบต่อเนื่องไปถึงปี 2549 ที่โรงแรมโซฟิเทล สีลม ที่คาดว่าจะสามารถทำกำไรประมาณ 190 ล้านบาทในปีหน้า ผู้ลงทุนคงต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 3,900 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทซื้อโรงแรมดังกล่าวมาในราคาประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าการที่ซื้อกิจการดังกล่าว เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า" นายเศรษฐากล่าว
นายเศรษฐากล่าวอีกว่า ธุรกิจโรงแรมในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าการท่องเที่ยวของไทยจะมีปัจจัยลบเข้ามากระทบหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ ไข้หวัดนกและอื่นๆ แต่นักท่องเที่ยวจากต่างชาติยังคงเดินทางมาเที่ยวอยู่เช่นเดิม เนื่องจากรัฐบาลให้การสนับสนุนในทุกด้าน นอกจากนี้หากสนามบินสุวรรณภูมิเปิดใช้บริการและรัฐบาลเปิดให้สายการบินต่างชาติมาลงจอดก็จะทำให้การท่องเที่ยวของไทยดีขึ้นอย่างมาก
ทั้งนี้เมืองท่องเที่ยวหรือสถานที่ท่องเที่ยวที่พึ่งนักท่องเที่ยวคนไทยเมื่อเกิดมีปัจจัยลบหรือเศรษฐกิจไม่ดีคนไทยก็จะไม่เที่ยว ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวที่เน้นไปที่ชาวต่างชาติไม่ไม่ค่อยกระทบเท่าใดนัก แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงและเชื่อว่าจะกระทบต่อการท่องเที่ยวมากที่สุดคือ ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หากรัฐบาลสามารถควบคุมให้อยู่ในวงจำกัด หรือสามารถคลี่คลายลงได้ก็จะไม่กระทบต่อการท่องเที่ยวมากนัก เพราะหากเกิดปัญหารุกลามนักท่องเที่ยวต่างชาติจะไม่กล้าเข้ามาเที่ยวในเมืองไทย
|