Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤศจิกายน 2537








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤศจิกายน 2537
จี๊ปเชโรกี หัวหอกไครส์เลอร์และสวีเดน มอเตอร์             
 


   
search resources

เดมเลอร์ไครสเลอร์ (ประเทศไทย), บจก.
อภิเชต สีตกะลิน
Vehicle




การเข้ามาลงทุนในประเทศไทยของบริษัทไครสเลอร์หนึ่งในสามยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตรถยนต์แห่งเมืองดีทรอยต์ สหรัฐอเมริกา โดยสินค้าตัวแรกที่นำออกสู่ตลาดคือ รถจี๊ปเชโรกี เริ่มเป็นข่าวมาตลอด โดยเฉพาะในช่วง 6 เดือนหลังจากที่บริษัท ไทยไครสเลอร์ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนเมษายน ที่ผ่านมา

ไทยไครสเลอร์เป็นการร่วมทุนระหว่างไครสเลอร์กับบริษัทสวีเดนมอเตอร์ ตัวแทนจำหน่ายและผู้ประกอบรถวอลโว่ในสัดส่วน 30 และ 70 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ บริษัทใหม่นี้มีโครงการลงทุนขั้นแรกมูลค่า 100 ล้านบาท ซึ่งผู้บริหารในบริษัทหลายตำแหน่ง ได้ถูกเลือกเฟ้นมาจากมือดีในอุตสาหกรรมรถยนต์ทั้งในและต่างประเทศ

การร่วมลงทุนกันครั้งนี้ มีนัยสำคัญมากไปกว่าการตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่บริษัทหนึ่งเท่านั้น สำหรับไครสเลอร์แล้วมันคือก้าวแรกในการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อเป็นฐานการผลิตป้อนสู่ตลาดโลก

สำหรับสวีเดน มอเตอร์นี่คือก้าวสำคัญก้าวแรกที่จะไปสู่การมีรถยนต์จำหน่ายครบทุกตลาด

ย้อนไปในปี 2522 รัฐบาลให้การสนับสนุนผู้ผลิตชิ้นส่วนและการประกอบรถยนต์ในประเทศ ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ การส่งเสริมด้วยนโยบายนี้ทำให้ตลาดเป็นของผู้ผลิต จะมีไม่กี่แห่งที่ประกอบรถกันได้ และส่วนใหญ่ที่ประกอบก็คือรถเก๋งเพราะขายได้ดีกว่า ไม่มีใครกล้าจะผลิตรถ ประเภทอื่น

จนกระทั่งถึงรัฐบาลไทยในยุคนายกรัฐมนตรีอานันท์ ปันยารชุน ก็ได้มีการประกาศนโยบาย ให้นำเข้ารถยนต์เสรีเมื่อกลางปี 2534

ผลกระทบที่เห็นได้ชัดก็คือ ปริมาณการนำเข้ารถยนต์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากสถิติในปี 2522-2523 มีจำนวน 20,000-30,000 คัน ปี 2531-2532 ประมาณ 65,000 คัน แต่หลังจากมีนโยบายนำเข้ารถยนต์เสรี ปี 2535 ยอดขายรถเพิ่มขึ้นทันทีเป็น 120,000 คัน

จากการวิจัยของไครสเลอร์พบว่า สิ้นปี คศ.2000 ตลาดรถยนต์เมืองไทย น่าจะมีปริมาณการใช้รถประมาณปีละ 1 ล้านคัน

แม้ว่าบางกระแสจะกล่าวว่าเป็นการไม่สนับสนุนผู้ประกอบรถยนต์ในประเทศ แต่ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้นทำให้ราคารถลดลง ตลาดรถยนตร์เป็นของผู้บริโภคอีกครั้ง

"ตลาดส่วนใหญ่ยังคงเป็นตลาดรถเก๋งอยู่ รถประเภทรถตรวจการณ์ หรือที่เรียกว่า OFF ROAD PASSENGER VEHICLE ยังไม่มีการนำเข้ามากนักเพราะรถขนาดใหญ่อย่างนั้นอัตราภาษีนำเข้าสูงมาก" อภิเชต สีตกะลิน รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาดและฝ่ายขายของไทยไครสเลอร์กล่าวถึงข้อจำกัด การเติบโตของตลาดรถยนต์ออฟโรด

ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาประตูการนำเข้ารถออฟโรดก็เปิดกว้างขึ้น เมื่อรัฐบาลประกาศเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษีจาก 38-45 เปอร์เซ็นต์ เป็น 27 เปอร์เซ็นต์ ทำให้รถยนต์ที่มีขนาดใหญ่ ที่เป็นการ นำเข้าเป็นส่วนใหญ่มีราคาที่ถูกลง

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นผลมาจากแรงกดดันของสหรัฐอเมริกา ที่ต้องการขจัดอุปสรรค กีดขวางการขยายตลาดของผู้ผลิตอเมริกัน

"ตลาดรถออฟโรดเริ่มเติบโตจากยอดขายทั้งตลาดประมาณ 50 คันต่อเดือน เพิ่มเป็น 200 คันต่อเดือน จากสถิติเดือนมิถุนายน คาดว่าในสิ้นปีนี้ยอดขายจะไปถึงประมาณ 300-400 คันต่อเดือน" อภิเชต กล่าวกับ "ผู้จัดการ"

การเติบโตของตลาดรถประเภทนี้อาจเนื่องมาจากการแข่งขันที่สูงขึ้นจากบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น อย่างมิตซูบิชิที่นำรถรุ่นปาเจโรเข้ามาขาย และอีซูซุเจ้าของรถรุ่นทรูปเปอร์ รวมทั้งรถจากประเทศอังกฤษอย่างโรเวอร์ ที่มีรุ่นเรนจ์ โรเวอร์และจิ๊ปเชโรกีของไทยไครสเลอร์เอง

หลังจากที่ไครสเลอร์ในอเมริกา ได้ซื้อกิจการบริษัทอเมริกัน มอเตอร์ เจ้าของรถจี๊ป ซึ่งเป็นต้นตำรับรถยนต์ตรวจการ หรือเรียกว่ารถประเภทออฟโรด เมื่อปี 1987 ไครสเลอร์ก็ได้ปรับปรุงคุณภาพของรถ เพิ่มความหรูหราสะดวกสบายมากขึ้น จนทำให้กลายเป็นรถยนต์ที่ทำรายได้ติดอันดับ จนเรียกได้ว่าเป็นสินค้าที่เป็นธงนำของบริษัท

ผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปีนี้ ไครสเลอร์มียอดขายรถทุกประเภทรวมกัน 95,172 คัน เพิ่มขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันจากปีที่แล้วคิดเป็น 19 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่รถจี๊ปเชโรกีขายได้ 24,772 คัน เพิ่มขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันจากปีที่แล้ว 36 เปอร์เซ็นต์ และรุ่นแกรนด์ เชโรกี ขายได้ 10,807 คันเพิ่มขึ้น 26 เปอร์เซ็นต์

ปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นก็คือการผลิตที่ไม่ทันต่อความต้องการของตลาด ซึ่งปีที่แล้วผู้ที่จองรถเชโรกีจำนวน 17,000 ราย ไม่ได้รับรถ ไครสเลอร์จึงเริ่มที่จะต้องมองหามาตรฐานการผลิตรถแห่งใหม่เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาด

ผลของการศึกษาสรุปลงที่ประเทศไทย ที่สำคัญก็คือการผลิตรถออฟโรดอย่างเชโรกี ใช้เวลาการประกอบสูง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการใช้คนมากกว่าระบบอัตโนมัติ เพราะชิ้นส่วนมาก ค่าแรงคนงานเป็นส่วนสำคัญที่ต้องพิจารณา แรงงานไทยก็ยังคงเป็นแรงงานที่ถูกอีกทั้งยังมีคุณภาพ โดยมีการพัฒนามาเป็นลำดับในยุคที่รัฐบาลมีนโยบายให้มีการผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ และประกอบรถในประเทศ เป็นเวลาร่วม 10 ปี

การได้ร่วมทุนกับสวีเดนมอเตอร์ เรียกได้ว่า ไครสเลอร์นั้นได้ผู้ร่วมทุนที่มีประสบการณ์การผลิตรถยนต์มานานกว่า 2 ทศวรรษ ซึ่งโรงงานนั้นพอที่จะขยายการผลิตเพื่อการส่งออกได้ดีกว่าการเริ่มต้นที่ศูนย์

ในขณะที่สวีเดนมอเตอร์ได้มีการทำวิจัยถึงความต้องการของตลาด ผลวิจัยนพบว่าความต้องการที่มีต่อรถออฟโรดนั้นมีสูงมากขึ้น ในขณะที่ยังไม่มีใครทำการตลาดอย่างจริงจังการร่วมมือครั้งนี้ คนในวงการเชื่อว่าเป็นฝีมือการสานประโยชน์ของทัศเดช อรุณสมิทธิ กรรมการบริษัท สวีเดนมอเตอร์และปัจจุบันยังมาเป็นประธานกรรมการของบริษัทไทยไครสเลอร์ด้วย

"ล่าสุดจากผลการดำเนินงานของไทยไครสเลอร์ที่วางเป้ายอดขายไว้ 300 คันในปีนี้ ปรากฏว่า ณ สิ้นเดือนกันยายนบริษัทได้ส่งมอบรถจี๊ป เชโรกีให้กับลูกค้าไปทั้งสิ้น 300 คันแล้ว และกำลังจะนำเข้าเพิ่มอีก 200 คัน สำหรับลูกค้าที่จะมีไปจนถึงสิ้นปีนี้" อภิเชตกล่าว

ไครสเลอร์ได้แสดงความเอาจริงเอาจังกับการผลิต เริ่มต้นด้วยการจัดสัมมนาผู้ผลิตชิ้นส่วนเพื่อบอกค่ามาตรฐาน ของชิ้นส่วนที่จะต้องเทียบเท่ากับมาตรฐานของไครสเลอร์อีกทั้งร่วมลงทุนขยายโรงงานไทยสวีดิช แอสเซมบลี้ อีก 100 ล้านบาท เพื่อประกอบเชโรกีโดยเฉพาะ สำหรับจำหน่ายในประเทศและส่งออกด้วย เริ่มที่ 5,000 คัน ในกลางปีหน้าซึ่งเดิมทีในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ก็มีโรงงานประกอบไครสเลอร์ เชโรกีอยู่แล้ว แต่เป็นโรงงานของผู้นำเข้าตั้งขึ้นเพื่อประกอบและจำหน่ายเพียงในมาเลเซียและอินโดนีเซียเท่านั้น

การร่วมมือกับไครสเลอร์ทำให้สวีเดนมอเตอร์มีสินค้าที่เป็นเจ้าตำรับรถออฟโรดเข้ามาจำหน่ายสนองความต้องการของตลาด โดยมีความโดดเด่นและภาพพจน์ของสินค้าที่มีตราจี๊ป เป็นประกัน นอกจากนี้ยังจะมีรถในเครืออย่างเช่นรุ่นนีออน ซึ่งเป็นรถเก๋ง ที่จะมีราคาไม่ถึงล้าน แต่กำลังทำยอดขายได้สูงในตลาดรถเก๋งในสหรัฐ ฯ

สวีเดน มอเตอร์ เดิมทีมีการประกอบรถยนต์โดยใช้สวีดิช แอสเซมบลี้ ประกอบรถยนต์วอลโว่ และเรโนลต์การจำหน่ายโดยผ่านทางสวีเดน มอเตอร์ จำหน่ายวอลโว่และมาเซราติ

เมื่อการร่วมมือกับไครสเลอร์เกิดขึ้น แม้จะเป็นคนละบริษัท แต่สวีเดน มอเตอร์ก็คือผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ได้เพิ่มสินค้าในบริษัท จนครบในทุกระดับราคาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรถสปอร์ตหรูหรา อย่างมาเซราติ รถเก๋งราคาล้านกว่าบาทขึ้นไปอย่างวอลโว่ รถออฟโรดอย่างจี๊ป และในอนาคต คือรถราคาที่ต่ำกว่าล้าน อย่าง นีออนก็กำลังจะตามมา

สำหรับงานชิ้นแรกของไทยไครสเลอร์ก็คือ การปั้นจี๊ปเชโรกี ให้เป็นดาวในตลาดรถออฟโรด

"เราเป็นบริษัททำตลาดจี๊ปเป็นสินค้าหลักของเราเลย จี๊ปเองก็มีภาพพจน์ที่ดีอยู่แล้วด้วยนอกจากนี้เรื่องความทนทานเราก็มีตามแบบฉบับรถอเมริกัน บริษัทไครสเลอร์เองก็ส่ง ผู้บริหารมาช่วยเป็นที่ปรึกษาทางด้านการบริการและการตลาดกับเราด้วย" อภิเชตกล่าว

ความจริงแผนการตลาดได้เริ่มมานานแล้ว ตามการบริหารสไตล์อเมริกันที่มักจะอิงการวิจัยเป็นสำคัญ ก่อนที่ไทยไครสเลอร์ จะนำเข้าเชโรกีเข้ามา ได้มีการวิจัยความต้องการของตลาดอยู่ก่อนแล้วและพบว่า ลูกค้าจะห่วงเรื่องความไม่คล่องตัวเพราะรถใหญ่ความไม่สะดวกเพราะมักจะเป็นระบบเกียร์ธรรมดา นอกจากนี้ยังต้องการความเป็นรถอเนกประสงค์ให้ทั้งความหรูหราและทนทานกับงานหนัก ใช้ทั้งในเมืองและในป่า ไทยไครสเลอร์จึงนำเข้ารถเชโรกี ที่แก้ปัญหาที่มีอยู่ของลูกค้า บนจุดยืน ที่ว่าคล่อง แรงและเร็ว แต่งภายในอย่างหรู เครื่องยนต์ 4 ลิตรที่แรง ไม่อืดอาด วงเลี้ยวที่แคบ เพิ่มความแคล่วคล่อง เกียร์อัตโนมัติ และเบรคเอบีเอส เพื่อความปลอดภัย และสะดวกในการใช้งาน รวมถึงความทนทานของรถยนต์สไตล์รถอเมริกันยี่ห้อ จี๊ป

"ถ้าเป็นรถที่มีลักษณะเดียวกับเรา ราคาจะสูงกว่า 2 ล้านบาท แต่เราสามารถสร้างและขายได้ในราคาล้านกว่าบาทเพราะ จี๊ปผลิตรถประเภทนี้มานาน ต้นทุนการวิจัยจะลดลงอีกทั้งอะไหล่ต่าง ๆ จะถูกกว่าบริษัทที่เริ่มผลิตรถรุ่นนี้ทีหลังเรามีการบริหารต้นทุนที่ดีกว่า" อภิเชตเปรียบเทียบความได้เปรียบ เสียเปรียบกับคู่แข่งในตลาดเดียวกัน

นอกจากการลงทุนในเรื่องโรงงานผลิตแล้ว ไทยไครสเลอร์ยังมีแผนการสร้างศูนย์บริการ อีก 5 แห่ง ในขณะนี้มีอยู่แล้วที่สุขุมวิท 59 ต้นปี หน้าจะเปิดที่เพชรบุรี ในเดือนเมษายนที่รามอินทรา สิ้นปีหน้าที่แจ้งวัฒนะ และบางแค

สำหรับในต่างจังหวัดตอนนี้ไครสเลอร์ใช้กลไกของสวีเดนมอเตอร์ ซึ่งมีอยู่ 14 แห่งเพื่อการจำหน่ายและบริการ

ตลาดรวมรถออฟโรดที่มีขนาดใหญ่และใช้งานได้จริงจะมีปริมาณรถประมาณ 2,000 คันในสิ้น ปีนี้ เชโรกีลงทุนงบประมาณ ทางด้านการส่งเสริมการขายไป 15 ล้านบาท เริ่มที่ส่วนแบ่ง 20 เปอร์เซ็นต์ปีหน้าการตลาดน่าจะมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากกว่านี้ เพราะฐานการผลิตอยู่ในไทย ที่จะสามารถผลิตอยู่ในไทย ที่จะสามารถผลิตรถได้ไม่ต่ำกว่า 5,000 คันในเดือนพฤษภาคมปีหน้าพร้อมกับงบประมาณการ ส่งเสริมการตลาด ที่จะเพิ่มเป็น 40 ล้านบาท

ส่วนประกอบทั้งทางด้านการผลิตและเงินทุน จากบริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมรถในสหรัฐฯ ผนวกกับประสบการณ์ทางด้านการตลาดของสวีเดนมอเตอร์ทำให้ ไทยไครสเลอร์เป็นที่น่าจับตามองว่า จะเป็นหัวหอกของยักษ์ใหญ่จากดีทรอยต์ และเป็นกลยุทธ์ในการขยายตลาดของสวีเดนมอเตอร์ได้ อย่างมีอนาคต   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us