|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
นครหลวงไทย วางกลยุทธ์ระยะยาว ตั้งเป้า 5 ปีปรับลดสัดส่วนสินเชื่อรายใหญ่จาก 52% เหลือ 40% ของสินเชื่อรวม หวังทยอย เพิ่มสัดส่วนสินเชื่อรายย่อย-กลาง เพื่อลดความเสี่ยงที่ลูกค้ารายใหญ่มีอำนาจต่อรองสูงและผลตอบแทนต่ำ ผู้บริหารมั่นใจคงพอร์ตสินเชื่อรวมไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นล้านบาท ด้านบล. สินเอเซีย แนะซื้อ คงราคาเป้าหมายไว้ที่ 29 บาท
นายอรุณ จิรชวาลา กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIB เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในระยะยาว 5 ปี ว่า ธนาคารมีนโยบายจะปรับสัดส่วน การปล่อยสินเชื่อใหม่ด้วยการทยอยเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยจากปัจจุบันที่มีสัดส่วนประมาณ 12% ของสินเชื่อรวมทั้งหมดเป็น 20% เพิ่มสัดส่วนสินเชื่อขนาดกลางจาก 36% เป็น 40% ขณะที่ปรับลดสินเชื่อรายใหญ่จาก 52% เหลือ 40%
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากธนาคารมองว่าในระยะยาวสินเชื่อขนาดกลางและสินเชื่อรายย่อยจะมีความมั่นคงมากกว่า ในขณะที่สินเชื่อรายใหญ่มีอำนาจ ต่อรองสูง ผลตอบแทนต่ำ และสามารถเปลี่ยนธนาคารง่าย รวมทั้งบาง ครั้งลูกค้ารายใหญ่ยังสามารถปรับแผน ไประดมทุนในตลาดทุน หรือตลาดตราสารหนี้แทนการขอสินเชื่อจากธนาคาร "แม้ว่าธนาคารจะปรับลดพอร์ตสินเชื่อรายใหญ่ลง แต่เป้าหมายการปล่อยสินเชื่อของธนาคารคาดว่าจะสามารถอยู่ในระดับ 4-6 หมื่นล้านบาทอย่างแน่นอน"
สำหรับตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) นั้น ไม่น่าจะเพิ่มขึ้นมากนัก โดยคาดว่าเอ็นพีแอลจะเพิ่มขึ้น จากสิ้นปี 2547 อยู่ที่ระดับ 10,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่อยู่ในระดับ 8,400 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการปรับเกณฑ์การจัดชั้นหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขณะที่ในปีนี้ตัวเลขเอ็นพีแอลน่าจะลดลง จากการที่มีการคืนหนี้มาแล้วบางส่วน ซึ่งสอดคล้องกับหนี้เอ็นพีแอลทั้งระบบ ที่คาดว่าจะปรับลดลงอย่างต่อเนื่องจากนโยบายของธปท.
ส่วนแผนการขยายธุรกิจในพื้นที่ภาคใต้ นั้น นายอรุณ กล่าวว่า ธนาคารได้มีการชะลอโครงการใหม่ๆ ไว้ก่อน หลังจากเกิดเหตุการณ์วางระเบิดที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากจะต้องรอดูสถานการณ์ก่อนว่าจะส่ง ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่างไร รวมทั้งธนาคารจะนำปัจจัยอื่นๆ มาประกอบการ พิจารณาด้วย อาทิ ราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ย ซึ่งธนาคารได้มีการประเมินสถานการณ์ตลอดเวลา แต่เชื่อว่าการปล่อยสินเชื่อของธนาคารจะยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
ด้านภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศนั้น ธนาคารได้ประเมินว่าเศรษฐกิจในภาพรวมจะขยายตัวที่ 5-5.5% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 5-6% แต่การปล่อยสินเชื่อของธนาคารจะไม่มีการปรับเปลี่ยน มากนัก แม้ว่าการปล่อยสินเชื่อภาคเอกชนอาจจะไม่เติบโตอย่างเช่นที่ผ่านมา แต่ยังมีสินเชื่อภาครัฐ (เมกะโปรเจกต์) จากโครงการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค ต่างๆ ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะขยายสินเชื่อให้โครงการภาครัฐได้มากขึ้น
ด้านบริษัทหลักทรัพย์สินเอเซีย จำกัด ประเมินฐานะการดำเนินงานของ SCIB ว่า ในปี 2549 ธนาคารจะต้องมีภาระเพิ่มขึ้นจากการจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคล ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิลดลง ขณะที่นโยบาย อัตราจ่ายเงินปันผลคงที่ 40-50% จะทำให้อัตรา การจ่ายเงินปันผลลดลงตามไปด้วย แต่อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนและเงินกองทุนขั้นที่ 1 ที่อยู่ในระดับสูงเท่ากับธนาคารเอกชนขนาดใหญ่ ดังนั้นจึงยังคงแนะนำให้ซื้อ โดยราคาเป้าหมายอยู่ที่หุ้นละ 29 บาท ระดับพี/อี เรโช ที่ 11.22 เท่า และ P/BV 1.60 เท่า
สำหรับความเคลื่อนไหวราคาหุ้น SCIB ล่าสุด เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2548 ที่ผ่านมา ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า โดยมีราคาต่ำสุดที่ 25.25 บาท ก่อนจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปสูงสุดและปิดที่ 25.75 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า 0.50 บาท หรือ 1.98% มูลค่าการซื้อขายรวม 65.86 ล้านบาท
|
|
|
|
|