Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มีนาคม 2537








 
นิตยสารผู้จัดการ มีนาคม 2537
เส้นทางสู่ศตวรรษที่ 21 ของสิงคโปร์             
 


   
search resources

Economics
Singapore




สิงคโปร์พร้อมแล้วสำหรับการรับมือกับศตวรรษใหม่ที่จะมาถึงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ยุทธศาสตร์เพื่ออนาคตถูกกำหนดขึ้นอย่างรอบด้าน รองรับด้วยแผนปฏิบัติการเพื่อให้ความฝันกลายเป็นความจริงศตวรรษที่ 21 อาจจะเป็นความน่าสะพรึงกลัวของประเทศเอเชียหลาย ๆ ชาติที่ยังจมปลักอยู่กับวงจรอุบาทว์ แต่สำหรับคนสิงคโปร์ มันคือความเปลี่ยนแปลงที่พวกเขาพร้อมจะรับมือแล้วในวันนี้

จากทิวทัศน์นอกหน้าต่างบนรัฟเฟิล ซิตี้ ทาวเวอร์ หนึ่งในตึกระฟ้าที่เนืองแน่นอยู่ทั่วสิงคโปร์นั้น ทอมมี่ โก๊ะได้เห็นอดีต, ปัจจุบัน และอนาคตของสิงคโปร์ที่หมุนเวียนผ่านไปในความคิดคำนึง และเมื่อมองลงมายังเบื้องล่าง นักการทูตผู้ช่ำชอง และเป็นทั้งนักวิชาการและผู้มีส่วนในการกำหนดนโยบายของประเทศผู้นี้ ก็ได้เห็นร่องรอยของเมืองอาณานิคมของอังกฤษในศตวรรษที่ 19 ที่ฝากไว้อยู่เต็มไปหมดทั่วพื้นหญ้าที่เขียวขจีบริเวณสี่แยก

มองตรงไปข้างหน้า ทิวทัศน์ที่ปรากฎนั้นเป็นนครแห่งตึกสูงระฟ้าในทศวรรษ 1990 ซึ่งสร้างตามรูปแบบของตะวันตก และท่าเรือที่รองรับเรือสินค้าได้แทบทุกขนาด และเคยเป็นท่าเรือที่มีการขนส่งสินค้าหนาแน่นที่สุดในโลกมาแล้ว

ภาพที่ใกล้เข้ามากว่านั้นซึ่งอยู่ห่างจากรัฟเฟิลทาวเวอร์ไปเพียงไม่กี่เมตร คือตึกเวสติน สแตมฟอร์ด ซึ่งมีความสูงถึง 73 ชั้น และแม้จะมีอายุยาวนานถึง 8 ปีแล้วก็ยังได้ชื่อว่าเป็นโรงแรมที่สูงที่สุดในโลกอยู่ ภัตตาคาร คอมเพสส์ โรส ซึ่งตั้งอยู่บนชั้นบนสุดของเวสตินนี้เป็นแหล่งอาหารมื้อกลางวันที่รวบรวมเอา นักธุรกิจมากหน้าหลายตา เพราะในวันที่อากาศปลอดโปร่งนั้น แขกที่อยู่บนชั้นสูงสุดนี้สามารถมองไปได้ไกลถึงอินโดนีเซียทีเดียว

เมืองแห่งธุรกิจแบบนี้ ซึ่งนิตยสาร ฮาร์วาร์ด บิสซิเนสส์ รีวิวเคยให้สมญาว่าเป็น “เมืองที่มีสภาพแวดล้อมด้านเทคโนโลยีเจริญที่สุดในโลก” อาจจะเป็นผลงานที่ควรแก่การเชิดหน้าชูตาของเมืองใด ๆ ก็ตามแต่ แต่ไม่ใช่สำหรับที่นี่

เมื่อมองไปทางซ้ายมือสุดของโก๊ะ ที่นั่นความเจริญในแบบศตวรรษที่ 21 กำลังก่อตัวขึ้นทักทายเขาอยู่ทางมารินา เบย์ ซึ่งแม้บัดนี้จะยังไม่ฉายแววเต็มที่ แต่ในอีก 2-3 ศตวรรษถัดไปนี้ ที่นี่จะเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของเมือง และจะเป็นแหล่งชี้ให้เห็นความก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจของประเทศได้เป็นอย่างดีด้วย

และเมื่อถึงวันนั้น ท่าเรือและสนามบินในอนาคต ก็จะต้องขยายตัวออกไปเพื่อให้รับกับความ ก้าวหน้าที่จะเพิ่มขึ้นไปอีกในช่วง 2-3 ทศวรรษถัดจากนี้เช่นกัน นอกจากนั้นยังจะมีการสร้างถนนข้ามช่องแคบยะโฮร์ไปสู่มาเลเซียสายที่สองขึ้นอีกและทางรถไฟใต้ดินของสิงคโปร์คือ MRT ก็อาจจะขยายเส้นทางเข้าไปถึงยะโฮร์ บาห์รูของมาเลเซียอีกด้วย

นอกเหนือจากนี้ยังมีการพูดถึงแผนการสร้างสะพานหรืออุโมงค์ที่ยาวถึง 32 กิโลเมตร ไปยังเกาะบาตัมของอินโดนีเซีย และอาจมีกระทั่งสนามบินลอยฟ้าขึ้นมาแทนที่สนามบินชางกี ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีราคาดี และเป็นเขตที่จะพัฒนาเป็นเมืองชายฝั่งที่เต็มไปด้วยชีวิตสมัยใหม่ของชาวสิงคโปร์ด้วย

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่ง เพราะสิงคโปร์ไม่ได้หวังถีบตัวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการค้าและการเงินแห่งศตวรรษที่ 21 เท่านั้น แต่ยังหวังเป็นศูนย์กลางด้านวัฒนธรรมด้วย

ดังที่โก๊ะกล่าวว่า “ในราวต้นศตวรรษหน้าเราจะเป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ของโลกอย่างลอนดอน, นิวยอร์คและปารีส

ศตวรรษใหม่ของสิงคโปร์นั้นเป็นเรื่องที่นักการเมืองไปจนกระทั่งถึงนักเขียนทั้งหลายต่างกระเหี้ยนกระหือรือที่จะทำนายความเป็นไปกันอย่างคึกคัก

แต่คำทำนายของผู้คนเหล่านี้ก็ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป

ประวัติศาสตร์ของสิงคโปร์เป็นตัวอย่างที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงการคาดการณ์ที่ผิดพลาดของนักทำนายอนาคต เหมือนดั่งที่นักพยากรณ์แห่งโลกตะวันตกล้มเหลวในการประเมินผลกระทบของอุตสาห-กรรมรถยนต์ที่มีต่อโลกในศตวรรษที่ 20 มาแล้วนักธุรกิจสิงคโปร์จำนวนมากในศตวรรษ 1890 ก็มอง ไม่เห็นอนาคตของต้นยางพารา ที่พวกเขาควรจะได้ลงทุนปลูกไว้ เพื่อรองรับความต้องการในอุตสาห-กรรมยางรถยนต์ในเวลาต่อมา

ตลอดศตวรรษที่ 1890 เฮนรี่ นิโคลัส ริดเล่ย์ ผู้อำนวยการสำนักงานป่าไม้ของสิงคโปร์ได้พยายามชักจูงให้ชาวไร่กาแฟ ทั้งหลายหันมาปลูกยางพาราแทนซึ่งทำให้เขาถูกมองว่า “เพี้ยน” ในสมัยนั้น และศาสตราจารย์สาขาประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งชาติของสิงคโปร์คือ ศจ.เอ็ดวิน ลีก็เปิดเผยหลังจากนั้นว่า “จนกระทั่งขึ้นศตวรรษใหม่ ซึ่งรถยนต์รุ่น ที ฟอร์ด เริ่มระบาดเข้ามาในสิงคโปร์แล้วนั่นแหละ สิงคโปร์จึงเริ่มหันมาปลูกและส่งออกยางพาราอย่างเป็นจริงเป็นจัง ทั้ง ๆ ที่ในศตวรรษ 1890 นั้นยังไม่มีใครมองเห็น”

แม้กระทั่ง ชาร์ล เบอร์ตัน เบิร์กลี่ย์ ผู้แนะนำรถยนต์เข้าสู่ตลาดสิงคโปร์ในปี 1896 ก็ยังประเมินความสำคัญของรถเบนซ์ในสมัยนั้นผิดไปว่า เป็นเพียง “ของเล่นที่ไม่มีประโยชน์” และเป็นกรณีเดียวกับการใช้ไฟฟ้าในสิงคโปร์เช่นกัน เพราะท่าเรือเทียนจงปาก้าเริ่มมีไฟใช้เมื่อปี 1897 ตามมาด้วยรัฟเฟิล โฮเต็ลในปี 1899 เพราะรัฐบาลสิงคโปร์ในสมัยนั้นเห็นว่ายังไม่ควรมีการใช้ไฟฟ้าทั้งเมือง จนกระทั่งปี 1906 สิงคโปร์จึงสว่างไสวขึ้นมาด้วยพลังไฟฟ้า

เรื่องในทำนองเดียวกันนี้ก็ยังมีอีกคือ ชาวจีนที่เกิดในสิงคโปร์ก็ไม่มีบทบาทในการกำหนดอนาคตของสิงคโปร์ตลอดเวลาที่สิงคโปร์อยู่ภายใต้อาณานิคมของอังกฤษในศตวรรษที่ 20 ดังที่นิตยสารสเตรทไชนีส แมกาซีน ซึ่งตีพิมพ์เป็นครั้งแรกในปี 1897ได้ตีพิมพ์ข้อความว่า “ชาวจีนทั้งหลายที่เกิดในสิงคโปร์เป็นสมบัติของพระราชินี พวกเขาควรเป็นชาวอังกฤษด้วยเลือดเนื้อและหัวใจ และจักรวรรดินี้จะยังเป็นของอังกฤษไปอีกนาน”

แต่อีก 40 ปีถัดมา กองทัพอังกฤษในสิงคโปร์ก็ยอมแพ้ต่อทหารญี่ปุ่นในปี 1959 หลังจากนั้น รัฐบาลลี กวน ยิว ก็เป็นผู้กอบกู้สิงคโปร์ขึ้นมาใหม่ เพื่อจะได้รับอิสระภาพในอีก 6 ปีต่อมา กระนั้น ความสำเร็จของสิงคโปร์ที่ตามมาหลังจากนั้นก็แทบจะไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเหมือนกัน

แม้กระทั่งหนังสือพิมพ์เดอะ ไทม์ ก็ยังล้มเหลวในการทำนายอนาคตของสิงคโปร์ในผลการสำรวจครั้งพิเศษในวาระครบรอบ 150 ปีของการก่อตั้งนิตยสารนี้ขึ้นมาโดยสแตมฟอร์ด รัฟเฟิล ผลการสำรวจครั้งนี้เขียนขึ้นหลังจากเกิดการกวาดล้างชาวจีนในอินโดนีเซียและมาเลเซีย และก่อนที่อังกฤษจะปิดฐานทัพไปไม่นาน ทำให้เกิดอัตราว่างงานขึ้นถึง 10% ของจำนวนประชากร และหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ ก็ได้สรุปอนาคตของสิงคโปร์ไว้ในวันนั้นว่า “สิงคโปร์มีเป้าหมายที่จำกัด แต่มีเนื้อหาที่จับต้องได้”

อย่างไรก็ตาม เดอะ ไทม์ก็ประเมินความทะเยอทะยานของสิงคโปร์ต่ำไปเหมือนกัน เพราะ สิงคโปร์ในยุคหลังการได้รับเอกราชนั้นก้าวไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่นมาก

ในแต่ละปี นักการเมือง, นักธุรกิจ, นักวิทยาศาสตร์, ผู้กำหนดนโยบายของท้องถิ่น รวมทั้ง นักวิชาการอย่างโก๊ะ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งทูตของสหประชาชาติมาแล้ว และปัจจุบันคือผู้นำของสถาบันนโยบายศึกษา ( INSTITUTE OF POLICY STUDIES) จะประชุมร่วมกันในรูปคณะกรรมการหลากหลายคณะเพื่อแสวงหาเส้นทางเดินในศตวรรษที่ 21 ของสิงคโปร์

วิสัยทัศน์ของสิงคโปร์ยาวไกลกว่าประเด็นเรื่องภูมิทัศน์ของเมือง ( CITYSCAPES) และโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง เป็นวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลเสียจนกระทั่งไม่อาจกำหนดเวลาแน่นอนที่จะบรรลุเป้าหมายได้ แน่นอนว่าต้องเป็นหลังปี 2000 หรืออาจเนิ่นนานไปจนผ่านปี 2030 ไปแล้ว นักวางแผนของสิงคโปร์เองต้องยืมคำของจอร์จ ออร์เวลล์มาใช้ในการกำหนดปีที่แผนจะเสร็จสมบูรณ์ว่า เป็น “ปีที่X”

JOHN KEUNG ผู้อำนวยการองค์การพัฒนาเมืองแห่งสิงคโปร์ หรือ “ยูอาร์เอ” ( URA-URBAN REDEVELOPMENT AUTHORITY ) กล่าวว่า “เราเป็นพวกที่ติดนิสัยในการวางแผนระยะยาวมาก ๆ”

โครงการระยะยาวของสิงคโปร์เหล่านั้นก็คือ


พัฒนาให้ทัดเทียมโลกตะวันตก

ผู้นำของสิงคโปร์คาดหวังว่า เมื่อถึงปีที่ X เกาะที่ยาว 42 กิโลเมตร, กว้าง 23 กิโลเมตรแห่งนี้จะเป็นประเทศที่ผ่านระยะของการเป็นชาติพัฒนาไปได้ไกลแล้ว และคาดว่าในปี 2020 สิงคโปร์จะมั่งคั่งเท่ากับเนเธอร์แลนด์ และร่ำรวยพอ ๆ กับสหรัฐอเมริกาในปี 2030

หนึ่งในจุดมุ่งหมายที่ร่างไว้ในแผนยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจก็คือ ในราวปี 2050 ผลผลิตมวลรวมประชาชาติ (จีเอ็นพี) ของสิงคโปร์จะสูงกว่าอัตราจีเอ็นพีของสหรัฐถึง 25% ปัจจุบันจีเอ็นพีของ สิงคโปร์คิดเป็นประมาณ 16,000 ดอลลาร์ต่อหัว มากกว่าประเทศพัฒนาบางประเทศอย่างออสเตรเลีย แต่ยังต่ำกว่าตัวเลขของอเมริกาอยู่เกือบ 8,000 ดอลลาร์ ปี 1993 เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้น ถึง 9% สำหรับการคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 21 จะอยู่บนพื้นฐานการประมาณการที่อนุรักษ์นิยมมากขึ้น นายกรัฐมนตรีของประเทศคือ โก๊ะ จก ตงกล่าวว่า “นี่เป็นเป้าหมายที่ทะเยอ-ทะยานไม่ใช่การคาดหมายที่เกินจริง”


สร้างเกาะอัจฉริยะ (INTELLIGENT ISLAND)

ในราวต้นศตวรรษหน้าสิงคโปร์มุ่งหวังจะเป็นสังคมที่เชื่อมโยงกันได้อย่างทั่วถึงทั้งประเทศ ด้วยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ด้วยการเปิดโอกาสให้ธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศ ทั้งในประเทศและต่างชาติเข้าไปดำเนินการในเขตที่เรียกว่า “สวนวิทยาศาสตร์แห่งอนาคต” ครัวเรือนทั้งหลายไม่เพียงแต่จะมีคอมพิวเตอร์ใช้กันอย่างถ้วนหน้าเท่านั้น แต่ยังสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยงานของรัฐบาล, องค์กรธุรกิจ และแม้กระทั่งกับโรงเรียนได้โดยผ่านทางด่วนข้อมูลด้วย

สำหรับธุรกิจทั้งหลายนั้น ธุรกิจประเภทไฮเทคและสินค้ามูลค่าเพิ่มทั้งหลายซึ่งใช้แรงงานที่มีความชำนาญแต่ค่าจ้างสูงของสิงคโปร์นั้น น่าจะเป็นธุรกิจที่เด่นในอนาคต ส่วนธุรกิจที่ใช้แรงงานราคาถูกประมาณมาก ๆ จะไปได้ไม่ดีนักในศตวรรษที่ 21 นอกเสียจากจะย้ายไปที่เกาะเรียวของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางแรงงานราคาถูกที่สุดในเขตสามเหลี่ยมเศรษฐกิจของ 3 ประเทศคือ สิงคโปร์-อินโดนีเซีย-มาเลเซีย

ปัจจุบัน แรงงานสิงคโปร์เป็นแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ในอัตราสูงกว่าทุกประเทศในโลก จากรายงานภาวะการแข่งขันของโลก ( WORLD COMPETITIVENESS REPORT ) ซึ่งรายงานในปี 1993 พบว่า จำนวนการใช้คอมพิวเตอร์ของประชากรคิดเป็นต่อหัวนั้นสูงกว่าอัตราในประเทศฝรั่งเศสด้วยซ้ำ สวนวิทยาศาสตร์แห่งอนาคตแห่งแรกของประเทศนั้นมีธุรกิจเข้าไปลงทุนจับจองพื้นที่เต็มหมดแล้ว และยังมีแผนจะตั้งขึ้นใหม่อีก 2 แห่ง ด้วย

ตัวอย่างของธุรกิจคอมพิวเตอร์ข้ามชาติที่เข้าไปลงทุนได้แก่ บริษัท แอปเปิล คอมพิวเตอร์และโมโตโรลา ซึ่งได้ทุ่มทุนในการวิจัยและพัฒนาอย่างเป็นล่ำเป็นสัน โดยเฉพาะรายหลังนั้นได้คิดประดิษฐ์เพจเจอร์ขนาดเครดิตการ์ดขึ้นมาในสิงคโปร์แล้วธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศก็ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาล จากรายงานของรัฐบาลแจ้งว่า ในราวปี 2005 สิงคโปร์จะเป็นประเทศแห่งความเจริญทางข้อมูลสารสนเทศอย่างแท้จริง ทุก ๆ บ้านจะเชื่อมโยงกันด้วยสายเคเบิลใยแก้ว



ขยายเนื้อที่

สิงคโปร์ตั้งใจจะพัฒนาประเทศตามแบบประเทศเล็ก ๆ ในทวีปยุโรปที่ประสบความสำเร็จทั้งหลายอย่างเช่นสวิสเซอร์แลนด์และเนเธอร์แลนด์ สำหรับขนาดพื้นที่ของชาติแล้ว ประเทศที่เป็นต้นแบบของสิงคโปร์ในการขยายพื้นที่ใช้สอยคือ เนเธอร์แลนด์

ในปี 1967 ทั้งเกาะนี้มีเนื้อที่ที่ใช้สอยได้ประมาณ 574 ตารางกิโลเมตร แต่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 626 ตารางกิโลเมตร และในปี X ที่ตั้งไว้นั้น ตัวเลขนี้ก็คาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 730 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นอัตราเพิ่ม 25%

ภายในพื้นที่ที่งอกเพิ่มขึ้นมานี้ เป็นที่ตั้งของย่านธุรกิจแห่งใหม่อีกคือ ดาวน์ทาวน์ คอร์ ( DOW-TOWN CORW ) ซึ่งใหญ่กว่าย่านธุรกิจที่มีอยู่ในปัจจุบันถึง 2 เท่า นอกจากนี้ ผู้มีหน้าที่วางผังเมืองชุมชน ก็ยังมีแผนจะตั้งศูนย์กลางด้านการพาณิชย์ระดับภูมิภาคขึ้นอีก 4 แห่งบริเวณที่เป็นจุดตัดของเส้นทางรถไฟใต้ดินสายปัจจุบัน และเส้นทางที่จะขยายใหม่ด้วย หนึ่งในจำนวนศูนย์กลางด้านการพาณิชย์นี้จะตั้งอยู่ใกล้กับสนามบิน, อีกแห่งอยู่ทางฝั่งตะวันตกใกล้กับถนนข้ามช่องแคบที่เชื่อมกับมาเลเซีย ซึ่งโครงการเหล่านี้บางส่วนก็จะแล้วเสร็จในปี 2000 บางส่วนก็แล้วเสร็จในปี 2010 และอีกบางส่วนในปี X หากโครงการ เหล่านี้แล้วเสร็จ ศูนย์กลางการพาณิชย์เหล่านี้จะทำให้พื้นที่เพื่อการพาณิชย์ของสิงคโปร์เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันเกือบ 4 เท่าตัว คือจาก 4 ล้านเป็น 15 ล้านตารางเมตร

ขณะที่พื้นที่ที่จะสร้างดาวน์ทาวน์ คอร์ ยังคงเป็นหล่มโคลน และตัวอาคารศูนย์การพาณิชย์ ยังเป็นเพียงแบบจำลองอยู่ที่สำนักงานผังเมืองของสิงคโปร์ในพื้นที่ใกล้ ๆ กัน โครงการระยะแรกของแผนการพัฒนาเมืองขนาดใหญ่ก็กำลังจะเปิดตัวภายในเดือนนี้โครงการนี้คือ “ซันเทค ซิตี้” ซึ่งได้รับการขนานนามว่า “เมืองหลวงแห่งธุรกิจของเอเซีย” (THE BUSINESS CAPITAL OF ASIS) ซึ่งประกอบไปด้วยศูนย์ประชุมมูลค่า 600 ล้านเหรียญสหรัฐ สวนสนุก อาคารสำนักงาน 5 หลัง และชอปปิ้งมอลล์ที่มีห้องประชุมที่ออกแบบโดยไม่ให้มีเสาอยู่เลย ซึ่งใหญ่ขนาดสามารถบรรจุเครื่องบินจัมโบ เจ็ต ได้ถึง 3 ลำ

ห้องประชุมนี้จุคนได้ถึง 13,000 คน ซึ่งจะทำให้สิงคโปร์ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีศูนย์ประชุม ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันสิงคโปร์ก็ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีศูนย์ประชุมใหญ่ที่สุด หากไม่นับศูนย์ประชุมในยุโรปด้วย แต่ศูนย์ประชุมของซันเทค ซิตี้ ซึ่งมีทางเดินเชื่อมไปถึงโรงแรมที่อยู่ในระแวกนั้น ถึง 5 แห่ง รวมทั้งรัฟเฟิลด้วย จะเป็นคู่แข่งที่ท้าทายความยิ่งใหญ่ในด้านการเป็นสถานที่จัดการประชุมของปารีสในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างสบาย ๆ เลยทีเดียว


ส่งเสริมวัฒนธรรม

ในช่วงที่ผ่านมานักวิจารณ์หลายคนต่างลงความเห็นว่า สิงคโปร์คือดินแดนที่ไร้วัฒนธรรมแต่ปัจจุบันสิงคโปร์กำลังนำประเทศเข้าสู่การเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมประจำภูมิภาค พอ ๆ กับการเน้น จุดประสงค์ด้านพาณิชย์ ตามนโยบายสิงคโปร์แห่งศตวรรษที่ 21

การที่สิงคโปร์มีปัญหาแรงงานขาดแคลนอย่างมากโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมไฮเทค รัฐบาลจึงมีนโยบายสร้างสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีสีสันทางวัฒนธรรม เพื่อเป็นแรงจูงใจในการดึงแรงงานระดับหัวกระทิของสิงคโปร์ให้อาศัยอยู่ในประเทศต่อไปรวมถึงการดึงดูดแรงงานฝีมือดีจากต่างชาติ เข้ามาทำงานด้วย

ปัจจุบันรัฐบาลสิงคโปร์เริ่มหันมาส่งเสริมศิลปะนานาประเภทอย่างจริงจัง อย่างเช่นการดึงเอาละครเวทีเรื่อง “Cats” หรือ “ The Phantom of the Opera” มาแสดงรวมทั้งการจัดคอนเสิร์ตไมเคิล แจ๊คสันในปีที่ผ่านมาอีกด้วย คอนเสิร์ตดังกล่าวสามารถดึงดูดคนดูจากหลายประทศทั้งในอินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทยและฮ่องกง จนกระทั่งมีชาวสิงคโปร์รายหนึ่งถึงกลับกล่าวทำนองเหน็บแนมว่า สิงคโปร์ไม่ได้ดึงเฉพาะศิลปินระดับโลกเท่านั้น แต่ดันดึงคนดูจากต่างประเทศมาด้วย

แต่จุดประสงค์สำคัญของรัฐบาลก็คือ การส่งเสริมชุมชนศิลปินท้องถิ่นในประเทศและการจัดตั้งศูนย์ศิลปะแห่งใหม่ที่ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลให้เป็นหน้าตาของประเทศในศตวรรษที่ 21 ผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในทางธุรกิจ และภาคราชการยังได้รับการสนับสนุน หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่ถูก ขัดขวาง หากจะหันเหความสนใจมาทุ่มเทให้กับงานศิลปะ ซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนแปลงทัศนคติครั้งสำคัญของรัฐบาลสิงคโปร์ที่เดิมมุ่งเน้นแต่ผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ โดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด

โก๊ะซึ่งเป็นประธานของสภาศิลปะแห่งสิงคโปร์(SINGPORE’S ART COUNCIL) ด้วย ไล่รายชื่อทนายความระดับคุณภาพที่ปฏิเสธการทำงานกับสำนักงานทนายความชื่อดังในเชนตัน เวย์ เพื่อมาทำงานด้านละคร เขากล่าวว่า “รายได้ของพวกเขาก็ไม่มากมายอะไรหรอก แต่ผมภูมใจในพวกเขามากการเป็นศูนย์กลางทางการเงินเพียงอย่างเดียว ไม่พอต่อการที่จะทำให้คุณเป็นมหานครชั้นนำของโลกได้”

อย่างไรก็ตาม หลายคนออกมาแสดงความเห็นแย้งว่า สิงคโปร์ไม่มีทางเป็นเมืองหลวงทางวัฒนธรรมได้ หากรัฐบาลยังคงมาตรการเซ็นเซอร์การเผยแพร่ข่าวสาร สรี คูมาร์ นักวิจัยแห่งสถาบันเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษากล่าวว่า “มันอาจจะเกิดขึ้นจริง แต่ผมคิดว่าต้องใช้เวลาอีกนาน”

นโยบายเซ็นเซอร์ของรัฐบาลสิงคโปร์ยังสวนทางกับเป้าหมายของประเทศ ในการก้าวขึ้นเป็น ผู้นำด้านเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งภูมิภาคอีกด้วย ทั้งนี้ครึ่งหนึ่งของสิ่งตีพิมพ์ในสิงคโปร์ไล่ตั้งแต่นิตยสารคอสโมโปลิแตนท์ไปจนถึงหนังสือพิมพ์ดิเอเซียน วอลล์สตรีท เจอร์นัลเคยถูกคำสั่งห้ามวางจำหน่ายจากรัฐบาลมาหลายครั้งแล้ว นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังเป็น 1 ในประเทศพัฒนาแล้วไม่กี่ประเทศ ที่ประชาชนไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของจานดาวเทียม รวมทั้งไม่มีสิทธิ์ชมรายการของบริษัทผลิตรายการ โทรทัศน์ชื่อดังอย่าง บีบีซี ซีเอ็นเอ็น อีเอสพีเอ็น เอชบีโอหรือเอ็มทีวีอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสิงคโปร์พยายามแสดงให้เห็นว่า ได้มีการผ่อนคลายการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน นับตั้งแต่นายกรัฐมนตรี โก๊ะ จ๊ก ตงขึ้นสู่อำนาจแทนลี กวน ยู นักการทูตตะวันตกรายหนึ่งกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าคนสิงคโปร์ปัจจุบันอพยพออกจากประเทศน้อยลงกว่าเมื่อก่อน ส่วนหนึ่ง มาจากสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะสิงคโปร์เป็นที่ที่น่าอยู่กว่าแต่ก่อน”

เชื่อมสามเหลี่ยมแห่งความเติบโต

หนึ่งในนโยบายสำคัญของสิงคโปร์ในศตวรรษที่ 21 คือการเชื่อมการคมนาคมระหว่างพื้นที่สามเหลี่ยมแห่งการเติบโตที่ประกอบด้วยสิงคโปร์-ยะโฮร์-อินโดนีเซีย ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการกำหนดเวลาที่แน่นอน แต่แผนการนี้ก็คืบหน้าไปมากแล้วในมาเลเซียและสิงคโปร์ โดยมีการสร้างถนนผ่านแดนสายที่ 2 ซึ่งช่วยให้ปัญหาการจราจรบนถนนสายหลักแห่งแรกซึ่งมีอายุถึง 70 ปีแล้วบรรเทาไปได้มากทั้งยังเป็นเส้นทางที่เชื่อมเข้ากับไฮเวย์เหนือ-ใต้ของมาเลเซียด้วย โครงการต่อไปคือ การขยายเส้นทางรถไฟใต้ดินจากเมืองวูดแลนด์ทางตอนเหนือไปถึงยะโฮร์ บาห์รูด้วย

แผนการหนึ่งในการเชื่อมเขตสามเหลี่ยมแห่งความเติบโต ซึ่งไม่ได้อยู่ในโครงการอย่างเป็นทางการแต่เป็นความใฝ่ฝันก็คือการสร้างสะพานหรืออุโมงค์ความยาว 32 กิโลเมตรเชื่อมต่อกับเกาะบาตัมของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นแหล่งที่บริษัทข้ามชาติและบริษัทสิงคโปร์เองไปลงทุนอยู่ เพื่อหาประโยชน์ จากแรงงานราคาถูกของอินโด ฯ และเทคโนโลยีชั้นสูงของสิงคโปร์

หลายคนสงสัยว่า แผนการนี้จะเป็นจริงได้มากแค่ไหน แต่แพตทริค ลี เว็ง คี ผู้บริหารของบาตามินโด อินดัสเตรียล เมเนจเมนต์ บริษัทร่วมทุนระหว่างสิงคโปร์-อินโดฯ ที่บริหารนิคมอุตสาหกรรมบาตัม อินดัสเตรียลอยู่ในขณะนี้กล่าวว่า ระยะทางดังกล่าวสั้นกว่าอุโมงค์ข้ามช่องแคบอังกฤษเสียด้วยซ้ำ

ไม่ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ ชาวสิงคโปร์ก็ต้องพบกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 อย่างแน่นอน ความคาดหวังกับชีวิตที่จะเปลี่ยนแปลงไป ยิ่งมีมากขึ้นเท่าไร คนสิงคโปร์ส่วนใหญ่ก็จะยิ่งอึดอัดกับการอาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์สูงระฟ้าของการเคหะสิงคโปร์ ซึ่งมีอยู่อย่างเหลือเฟือ เพียงพอต่อความต้องการ แต่เป็นที่อยู่ที่หาความสวยงามไม่ได้เอาเสียเลย

เจ้าหน้าที่ยูอาร์เอคาดว่า เมื่อถึงปีที่ X สัดส่วนของบ้านส่วนตัวที่ชาวสิงคโปร์สร้างขึ้นเองจะเพิ่มจาก 17% ในปัจจุบัน เป็น 30% ประชากรจะเพิ่ม จาก 2.7ล้านคนเป็น 4 ล้านคน และอัตราส่วนพื้นที่อยู่อาศัยต่อคนก็จะเพิ่มจาก 20 ตารางเมตรเป็น 30 ตารางเมตร ยูอาร์เอเตรียมรองรับสถานการณ์นี้ด้วยการวางแผนสร้างเมืองใหม่เป็นวงแหวนรอบ ๆ เกาะ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ วี ชวี เฮง สถาปนิกของบริษัทกัมปูลาน อากิเทค เสนอแผนพัฒนาชางกี พอยต์ ซึ่งเป็นพื้นที่ริมทะเลที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ใกล้กับสนามบินนานาชาติสิงคโปร์ให้กลายเป็นเมืองชายฝั่งทะเล ปัจจุบันบริเวณนี่มีบังกาโลตากอากาศสำหรับข้าราชการ เพียงไม่กี่แห่ง วีกับทีมงานจากสถาบันสถาปนิกแห่งสิงคโปร์มีแผนที่จะสร้างที่พักเพิ่มขึ้นเป็น 15,000 ยูนิต เพื่อตอบสนองความต้องการของบรรดาเศรษฐีมีเงินที่ประสงค์จะมาลงหลักปักฐานที่นั่นตลอดชีวิต หรือแค่ใช้เป็นที่พักผ่อนยามสุดสัปดาห์ก็ได้


สิงคโปร์ในศตวรรษที่ 21 จะพลิกโฉมหน้าแตกต่างไปจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิงแต่ เป้าหมายเดิมของการดำรงคงอยู่ของสิงคโปร์ยุคใหม่ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม นั่นคือการเป็น ศูนย์กลางการบริการและการค้าประจำภูมิภาค เป็นที่ตั้งของสำนักงานประจำทวีปเอเซียของบริษัท ข้ามชาติ ปัจจุบันมูลค่าการค้าของสิงคโปร์ใหญ่เป็นอันดับที่ 14 ของโลก จนแม้แต่กลุ่มประเทศสแกน- ดิเนเวียรวมกันก็ไม่อาจเทียบได้

ราฟิค จูมับฮอย กรรมการผู้จัดการของ สก็อต โฮลดิ้งที่หลี่ เซียน หลุง รองนายกรัฐมนตรี จ้างมาวางเค้าโครงยุทธศาสตร์ของสิงคโปร์ในศตวรรษหน้ากล่าวว่า “ในประวัติศาสตร์ สิงคโปร์เหมือนกับประเทศที่เป็นทางแพร่ง มีสถานะทั้งศูนย์การค้าและแหล่งกระจายข่าวของภูมิภาค ทั้งยังเป็นศูนย์รวมภูมิปัญญาของเจ้าอาณานิคมในอดีต สิงคโปร์ไม่ใช่แค่ศูนย์กลางของอังกฤษ แต่ยังเป็นฝรั่งเศสของ อินโดจีนและเนเธอร์แลนด์ของหมู่เกาะอินดี้ ตะวันออก”

กูมาร์แห่งสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษากล่าวว่าในอนาคต สิงคโปร์จะเป็นแหล่งเทคโนโลยีของตะวันตกและแม่แบบทางอุดมคติของประเทศเอเชียอื่น ๆ โดยเฉพาะจีน ดังนั้น สิงคโปร์จะกลายเป็น กลไกอำนวยความสะดวกให้ทั้งระหว่างทุนจากตะวันตกและการพัฒนาของตะวันออก

อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยสำหรับสิงคโปร์คือ ภายในช่วงเปลี่ยนของศตวรรษที่ผ่านมา นักกฎหมายของสิงคโปร์ต่างวุ่นวายอยู่กับการออกกฎหมายควบคุมการจราจรให้กับบรรดารถลากจำนวน 8,000 คันที่แออัดยัดเยียดกีดขวางการจราจรบนท้องถนนและพอมาในปัจจุบัน สิงคโปร์ก็ยังหมกมุ่นอยู่กับการทำให้การจราจรบนท้องถนนรื่นไหล จนกลายเป็นประเทศที่เป็นผู้นำในด้านระบบการจราจรของโลก

เมื่อก้าวเข้าศตวรรษที่ 21 เจ้าของรถที่มีเงินพอจะจ่ายค่าจดทะเบียนรถที่สูงลิ่วอยู่แล้ว จะต้องยอมเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็นค่าธรรมเนียมสำหรับการใช้ท้องถนนในตัวเมืองทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ยานพาหนะต่าง ๆ มากระจุกตัวอยู่ที่ในเมืองมากเกินไป อันเป็นปัญหาหนึ่งที่ประเทศกำลังพัฒนารายอื่น ๆ ประสบอยู่

นอกจากนี้สิงคโปร์ยังมีปัญหาระบบการศึกษาจนถึงก่อนหน้านี้ไม่นาน ยังมีชาวสิงคโปร์บางคนมีโอกาสเรียนหนังสือเพียง 6 ปีเท่านั้น ปัจจุบันนักธุรกิจอย่างจูมับฮอยเริ่มตั้งคำถามว่า ระบบการศึกษาที่เข้มงวดเกินไปเป็นตัวกีดกันความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนหรือไม่และล้มเหลวในการผลิตผู้ประกอบการ

จูมับฮอย ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้นำสิงคโปร์รุ่นก่อน ๆ ถูกสภาพแวดล้อมบังคับให้ต้องเสี่ยงทำการเปลี่ยนแปลงประเทศ จากดินแดนที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์มาเลเรียมาเป็นประเทศกำลังพัฒนา “แต่คน สิงคโปร์รุ่นนี้ ไม่ต้องการเสี่ยงแบบนั้นอีกแล้ว” เขากล่าว

อย่างไรก็ตามคูมาร์ก็เชื่อว่า ระบบการศึกษาเป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่ต้องถูกตำหนิเท่านั้น “สภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้นด้วยมาก ทำให้ประชาชนไม่จำเป็นต้องเสี่ยง นักศึกษาส่วนมากหลังจากจบจากมหาวิทยาลัยแล้วก็มีทางเลือกที่จะทำงานกับบริษัทข้ามชาติหรืองานราชการ แต่ถ้าการหางานทำมีความไม่แน่นอนอีกต่อไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงก็จะเกิดขึ้น”

ยุทธศาสตร์การรับมือกับศตวรรษใหม่ไม่ใช่งานยากเย็น และไม่ได้เป็นความลับของสิงคโปร์ ถึงแม้หลายคนจะมองว่าการเปิดเผยกลยุทธ์ดังกล่าวจะทำให้ประเทศคู่แข่งรู้ตื้นลึกหนาบางมากเกินไป เดวิด ชิน กรรมการคนหนึ่งของคณะกรรมการพัฒนาการค้าสิงคโปร์กลับเห็นว่า “สิงคโปร์เป็นประเทศที่ขายบริการเสนอสินค้าของเราให้ลูกค้าได้รับรู้คือข้อได้เปรียบ”

หากจะมีสิ่งที่จะทำให้แผนการที่วางเอาไว้อย่างพิถีพิถันของสิงคโปร์ไร้ความหมาย สิ่งนั้นก็คือความปั่นป่วนของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในโลกนี้ที่ไม่อาจคาดเดาได้ เหมือนอย่างเมื่อตอนที่จูมับฮอยและคนอื่น ๆ กำลังร่างยุทธศาสตร์ ก็เกิดสงครามอ่าวเปอร์เซียและการล่มสลายของสหภาพโซเวียตอย่างคาดไม่ถึง

โก๊ะ จก ตง นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์เคยเตือนว่า “เราไม่สามารถทำนายอนาคตได้ ประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยเรื่องที่คิดไม่ถึง” กระนั้นก็ตามจากเพนท์เฮ้าส์บนอาคารสำนักงานที่สูงตระหง่านเหนืออ่าวมารีน่า นักอุตสาหกรรมและข้าราชการของสิงคโปร์ก็ยังมองเห็นสิงคโปร์ในศตวรรษที่ 21 อย่างชัดเจน ราวกับความจริงในชีวิตประจำวัน

ในขณะที่การแสวงหาเส้นทางเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ของประเทศเอเซียหลาย ๆ ประเทศเป็นเรื่อง ที่เจ็บปวดอย่างร้าวลึก เพราะประเทศเหล่านี้ถูกกัดกินด้วยปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่ขาดแคลน การจราจรที่ติดขัดบนท้องถนน และการคอร์รัปชั่นที่ทำลายหรือถ่วงรั้งโครงการพัฒนา ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง สำหรับสิงคโปร์ อย่างน้อยที่สุดจนถึงวันนี้ การเดินทางเข้าสู่ศตวรรษใหม่คือการผจญภัยที่น่า ตื่นตาตื่นใจมากกว่าที่จะเป็นการเผชิญกับวิบากกรรม   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us