การเป็นพันธมิตรกันระหว่างเลห์แมนบราเธอร์และอเมริกัน เอ็กเพรส (เอเม็กซ์) ก็เหมือนชีวิต คู่สมรสที่มีแต่ความล้มเหลว จนในที่สุดบริษัทบัตรเครดิตและโบรกเกอร์ชั้นนำของสหรัฐ ฯ คู่นี้พร้อม ที่จะลงนามในใบหย่าอย่างเต็มใจ

ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา ทั้ง 2 บริษัทต้องเผชิญกับภาวะหวานอมขมกลืนในสัมพันธภาพมาตลอด เนื่องจากการทะเลาะเบาะแว้งกันเองภายใน ตามแบบแมคคีวาลี่และวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่สามารถเข้ากันได้ ที่แย่กว่านั้นคือ ตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา เอเม็กซ์ได้สูญเงินไปแล้วจำนวน 2,000 ล้านดอลลาร์ สำหรับการอัดฉีดเงินทุนเข้าไปในเลห์แมน ฯ และเชียร์สัน นอกจากนี้ บริษัทยังต้องรับภาระการเงิน ของทั้ง 2 บริษัทนี้อีกในช่วงที่ผ่านมา จนเป็นเหตุให้ตัวเองต้องขาดทุนเป็นเงิน 1,100 ล้านดอลลาร์

แต่นับจากวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา เอเม็กซ์ก็ไม่จำเป็นต้องแบกภาระของเลห์แมน ฯ อีกต่อไป เนื่องจากบริษัทได้ประกาศตัดเลห์แมนออกจากเครือข่ายแล้ว ทำให้เอเม็กซ์สามารถหันมาเน้นธุรกิจบัตรเครดิตและการวางแผนในธุรกิจการเงินได้อย่างสะดวก ส่วนเลห์แมน ฯ นั้นก็ต้องหาทางประคองธุรกิจต่อไปให้ได้ในฐานะบริษัทมหาชน อย่างที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเอเม็กซ์ ฮาร์วีย์โกลุบ กล่าว ไว้ว่า “ลูกสุนัขตัวนี้เริ่มยืนด้วยลำแข้งตัวเองแล้ว”

แต่เอเม็กซ์ก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากภาระได้หมด เมื่อจำเป็นต้องอัดฉีดเงินอีก 1,090 ล้านดอลลาร์เข้าไปในเลห์แมน ฯ ก่อนที่จะนำหุ้นของเลห์แมน ฯ ออกเสนอขายต่อสาธารณชนในฐานะเงินปันผลพิเศษ ซึ่งตรงจุดนี้ บริษัทจัดอันดับฐานะการเงินบริษัทถึงกลับกล่าวเตือนเลห์แมนฯ ว่า จะต้องพยายามรักษาฐานะของตนในระดับ A ไว้ให้ได้ เพราะหลังจากนี้จะไม่มีใครมาคอยหนุนหลังอีกต่อไปแล้ว ซึ่งนับเป็นเรื่องยากมากสำหรับวาณิชธนกิจเจ้านี้

ทั้งนี้ การเสนอขายหุ้นของเลห์แมน ฯ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากข่าวแต่ละข่าวที่ออกมาของ เลห์แมนฯ ดูเหมือนจะไม่มีข่าวดีเลยอย่างที่ริชาร์ด ชมิต กรรมการผู้จัดการของสแตนดาร์ด แอนด์พัวร์กล่าว และหากว่าเลห์แมนฯ ยังไม่สามารถรักษาทุนพิเศษที่เอเม็กซ์ให้มาได้หรือนำมาใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด กิจกรรมของเลห์แมนฯ ก็อาจถึงกาลล่มสลาย

แต่ด้านตัวเลห์แมนฯ กลับเชื่อว่าการแยกออกมาจากเอเม็กซ์ครั้งนี้คงไม่กระทบโครงสร้างการดำเนินงานของบริษัทเท่าใด เพราะตั้งแต่ในปี 1990 เป็นต้นมาบริษัทก็ปรับโครงสร้างทุนตนเองมาตลอด ทั้งยังประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูวัฒนธรรมองค์กรและการสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ รวมทั้งการลดทรัพย์สินขาดสภาพคล่องมูลค่า 9,000 ล้านดอลลาร์ลงอีกด้วย