ซาอุดี อาราเบีย ราชาน้ำมันโลกกำลังเผชิญกับวิกฤติการณ์ราคาน้ำมันตกต่ำจนโครงการยักษ์ใหญ่ในประเทศหลายแห่งต้องเร่งลดงบประมาณขนานใหญ่ เริ่มจากซาอุดี อารามโค บริษัทน้ำมันอันดับ 1 ของโลกซึ่งตัดงบประมาณโครงการขยายกิจการในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ก่อนที่รัฐบาลซาอุฯ เองจะประกาศตัดงบประมาณประเทศลง 20% ในเดือนมกราคม พร้อมกับเจรจากับรัฐบาลสหรัฐ ฯ เพื่อขอเลื่อนการใช้หนี้มูลค่า 10,000 ล้านดอลลาร์จากการสั่งซื้ออุปกรณ์ทางทหารจากบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ฯ อย่างแมคโดนัลด์ ดักลาส เจเนรัล ไดนามิคส์และฮิวก์ แอร์คราฟต์
การที่ราคาน้ำมันโลกตกต่ำลงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนตั้งแต่ปี 1986 ทำให้ซาอุ ฯ ต้องจำกัด จำเขี่ยงบประมาณอย่างมาก ในปีที่ผ่านมา ซาอุ ฯ มีรายได้เข้าประเทศเพียง 40,000 ล้านดอลลาร์จากการขายน้ำมัน น้อยกว่ามูลค่าในปี 1986 ซึ่งนักวิเคราะห์หลายรายกล่าวว่า ถ้าราคาน้ำมันซาอุฯ คงตัวอยู่ที่ระดับบาร์เรลละ 12 ดอลลาร์ในปัจจุบันต่อไปเรื่อย ๆ ปีนี้ซาอุ ฯ ก็จะมีรายได้จากน้ำมันเพียง 32,000 ล้านดอลลาร์
การที่ซาอุฯ ลดค่าใช้จ่ายลงนั้นส่งผลกระทบต่อบริษัทอาวุธสหรัฐ ฯ ที่เข้าไปลงทุนในซาอุ ฯ ดังเช่นแมคโดนัลด์ดักลาสที่ได้รับคำสั่งซื้อสินค้าจากซาอุ ฯ ประมาณ 5,000 ล้านดอลลาร์ในปี 1991 หรือบราวน์ แอนด์ รูธ บริษัทวิศวกรรมที่ได้สัญญาการขยายโรงผลิตน้ำมันของซาอุดี อารามโคมูลค่า 12,000 ล้านดอลลาร์ก่อนหน้านี้ แต่ต้องมาลดเหลือ 2,000 ล้านดอลลาร์ในที่สุด
ทั้งนี้ แมคโดนัลด์ ดักลาสซึ่งเคยพยายามอย่างหนักในการชักจูงให้สภาคองเกรสสหรัฐ ฯ อนุมัติการขายเครื่องบินขับไล่รุ่น เอฟ-15 ให้ซาอุฯ ในปี 1992 กล่าวว่า ถ้าซาอุฯ เกิดชะลอการนำเข้าเครื่องบินของตน บริษัทอาจจะต้องปิดกิจการโรงงานผลิตเอฟ-15 ในเซนต์หลุยส์ลงแน่นอน
ฝ่ายซาอุฯ เองก็น่าเห็นใจอยู่ไม่ใช่น้อย ในเมื่อรัฐบาลเองก็มีค่าใช้จ่ายเกินดุลมาตลอด 14 ปี จนเป็นหนี้ทั้งในและนอกประเทศจำนวนกว่า 60,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่เงินสำรองต่างประเทศก็ร่อยหรอลงทีละน้อย นอกจากงบประมาณทหารแล้ว ซาอุ ฯ ยังจะตัดค่าใช้จ่ายด้านเงินอุดหนุนการเกษตรลงอีกถึง 2,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี การระงับแผนการเพิ่มกำลังการผลิตของโรงกลั่นรวมทั้งการล้มเลิกแผนพัฒนาบ่อน้ำมันไชบาทางใต้ของประเทศที่คาดว่าจะมีปริมาณน้ำมันดิบเบาสำรองอยู่ 7,000 ล้านบาร์เรล ซึ่งคาดว่า หากซาอุ ฯ ไม่รีบตัดไฟแต่ต้นลม ในอนาคตสถานการณ์การเงินของซาอุฯ อาจจะแย่กว่านี้
|