|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
สำนักทรัพย์สินฯถือหุ้นใหญ่ในแบงก์ไทยพาณิชย์ สัดส่วน 24.1 % หลังแลกหุ้นกับกระทรวงคลังเดือนมกราคม ยันพอใจสัดส่วนถือหุ้นไม่คิดซื้อเพิ่มเติม เหตุถือเกิน 25 % ต้องทำ Tenderoffer ตามเกณฑ์ ก.ล.ต. เตรียมออกหุ้นกู้สกุลดอลล่าร์ จัดสรรเงินสอดคล้องกับธุกรรมลูกค้า ย้ำเงินกองทุนแกร่ง บีไอเอสกว่า 16 % เตรียมทบทวนเป้าหมายและประเมินสถานการณ์ครึ่งปีหลัง หลังราคาน้ำมันพุ่ง-ปัญหาภาคใต้รุนแรง ระบุมีนโยบายจ่ายปันผล 30-40 %ของกำไรสุทธิได้ทุกปี
นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา นายกกรรมการ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน)เปิดเผยว่า สำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ได้ดำเนินการแลกหุ้นของธนาคารกับกระทรวงการคลังเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยได้ใช้ที่ดินย่านพญาไท เป็นมาแลกหุ้นในสัดส่วน 12-13 % ส่งผลให้สำนักทรัพย์สินฯจะถือหุ้นในธนาคารประมาณ 24.1 %จากเดิมที่ถืออยู่ประมาณ 12% และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ทันที อันดับสองจะเป็นส่วนของกระทรวงการคลังถือสัดส่วนประมาณ 24 % โดยการดำเนินธุรกิจ ในระยะต่อไป ยังคงเป็นไปอย่างปกติ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น ทั้งคณะกรรมการที่เป็นตัวแทนของสำนักทรัพย์สินหรือทีมผู้บริหาร
นอกจากนี้สำนักทรัพย์สินฯ ไม่มีนโยบายที่จะซื้อหุ้นเพิ่มเติมอีกจากกระทรวงการคลัง โดยมองว่าสัดส่วนดังกล่าวอยู่ในระดับเดิมตั้งแต่ก่อนวิกฤตเศรษฐกิจ เพราะในเกณฑ์ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หากถือหุ้นเกิน 25 % จะต้องทำการเสนอซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นรายย่อย(Tenderoffer) ส่วนกระทรวงการคลังจะขายหุ้นให้กับผู้ร่วมทุนรายใดก็ไม่น่าที่จะมีปัญหาอะไร เพราะปัจจุบันถือว่าธนาคารมีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นของคนไทย ส่วนสัดส่วนของต่างประเทศนั้น ขณะนี้มีอยู่จำนวน 40 % ต่ำกว่าเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กำหนดสัดส่วนไม่เกิน 49 %
คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า ธนาคารได้ขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นเพื่อออกหุ้นกู้วงเงิน 40,000 ล้านบาท เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งในการระดมเงินทุนของธนาคารภายใต้ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งขณะนี้ธนาคารยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องออกหุ้นกู้แต่อย่างใด แต่หากจะออกก็เพื่อสอดคล้องกับธุรกรรมของลูกค้า ส่วนใหญ่จะเป็นเงินสกุลต่างประเทศ
"การออกหุ้นกู้ระยะสั้นๆจะเป็นผลดีกับธนาคารมากกว่าที่จะระดมเงินฝาก เนื่องจากไม่ต้องเสียเงินสมทบให้กับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินในสัดส่วน 0.4 %ของเงินฝากแล้ว ยังเป็นการบริหารต้นทุนที่ต่ำกว่าการกระดมเงินฝากด้วย "กรรมการผู้จัดการใหญ่กล่าว
อย่างไรก็ตามธนาคารไม่มีความจำเป็นที่จะออกหุ้นกู้เพื่อเข้ามาเสริมเป็นเงินกองทุนขึ้นที่ 2 เนื่องจากธนาคารมีเงินกองทุนที่เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ ปัจจุบันมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงตามมาตรฐานบีไอเอสประมาณ 16 % เป็นเงินกองทุนขึ้นที่ 1 ประมาณ 11.4 % ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ ดังนั้นการขอมติผู้ถือหุ้นดังกล่าว เพื่อเป็นทางเลือกให้กับธนาคารเท่านั้น ไม่ได้มีความจำเป้นของการขาดเงินกองทุนแต่อย่างใด
ในช่วงนี้ธนาคารได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิต เพื่อประเมินผลของเศรษฐกิจ ซึ่งปีนี้ธนาคารไม่คิดว่าราคาน้ำมันจะสูงขึ้นมากขณะนี้ ดังนั้นจะมีการทบทวนถึงปัจจัยเสี่ยงของการดำเนินธุรกิจอีกครั้งหนึ่งในครั้งปีหลัง โดยขณะนี้ยังไม่มีการปรับเป้าหมายของสินเชื่อและการดำเนินธุรกิจ และคาดว่าผลประกอบการของธนาคารจะเป็นไปตามเป้าหมาย โดยมีอัตราผลตอบแทนจากผู้ถือหุ้นเติบโตระดับ 20 % จากเมื่อปีที่ผ่านมา ธนาคารมีอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเติบโต 23 % เพราะมีรายได้พิเศษจากการขายหุ้นและอื่นๆจำนวนมาก และในปีนี้คาดว่าจะรักษาระดับการเติบโตตามเป้าหมายแน่นอน นอกจากนี้ยังมีนโยบายที่จะจ่ายเงินปันผลเฉลี่ยปีละ 30-40 %ของกำไรสุทธิ คาดว่าสามารถดำเนินการได้แน่นอน
|
|
|
|
|