Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มิถุนายน 2545








 
นิตยสารผู้จัดการ มิถุนายน 2545
BIG C เติบโตภายใต้ทักษะของ CASINO             
โดย สมศักดิ์ ดำรงสุนทรชัย
 


   
www resources

โฮมเพจ เซ็นทรัลกรุ๊ป
Casino Homepage
โฮมเพจ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์

   
search resources

Casino Guichard-Perrachon
เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น, บจก.
บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์, บมจ.
Retail




การเติบโตขึ้นของ BIG C จากเดิมที่มียอดขาดทุน กว่า 1,700 ล้านบาท ในช่วงปี 2540 มาสู่ตัวเลขผลกำไรกว่า 1,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา ในด้านหนึ่ง อาจเป็นดัชนีชี้วัดการกระเตื้องขึ้นของภาวะทางเศรษฐกิจ ในภาพรวม แต่ลึกลงไปกว่านั้น นี่คือตัวอย่างและข้อเท็จจริง ว่าด้วยระบบเศรษฐกิจแบบโลกาภิวัตน์ ที่มีกระแสทุนเป็นกลไกสำคัญ

การปรากฏตัวขึ้นของ BIG C เมื่อ ปี 2536 ในฐานะที่เป็นซูเปอร์เซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นรูปแบบการค้าปลีกแบบใหม่ในประเทศ ไทยในขณะนั้น เกิดขึ้นภายใต้แนวความคิดว่าด้วย segmentation ของกลุ่มค้าปลีก ในเครือเซ็นทรัล (Central Retail Corporation : CRC) อันเป็นยุทธศาสตร์ที่พยายามสอดแทรกและรักษาฐานที่มั่นทางธุรกิจค้าปลีกของกลุ่มให้มีความมั่นคง ท่ามกลางกระแสการเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างช้าๆ ของผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ระดับโลก

และคงไม่เป็นการเกินเลยที่จะระบุว่ายุทธศาสตร์ segmentation ดังกล่าวเป็นความเคลื่อนไหวและการปรับตัวครั้งสำคัญ ที่สอดรับกับสถานการณ์ในแวดวงธุรกิจค้าปลีกไทยในขณะนั้นเป็นอย่างดี

กระนั้นก็ดี ตลอดระยะเวลาที่กลุ่มค้าปลีกในเครือเซ็นทรัล (CRC) ในฐานะผู้ทำคลอด BIG C พยายามผลักดันให้ ซูเปอร์เซ็นเตอร์แห่งนี้ ก้าวขึ้นมาเป็นหัวหอก ของกลุ่มในการขยายฐานธุรกิจไปสู่กลุ่มลูกค้าระดับกลางและล่าง ดูจะไม่สามารถสร้างความหวือหวาในส่วนของผลกำไรมากนัก แม้จะมียอดขายในระดับ 1 หมื่นล้านบาทในแต่ละปีก็ตาม

สาเหตุสำคัญที่ผลการดำเนินการของ BIG C ในช่วงเริ่มแรกไม่โดดเด่นมากนัก ในด้านหนึ่งอยู่ที่การต้องทุ่มงบประมาณจำนวนไม่น้อยให้กับการลงทุนเพื่อขยายสาขา ซึ่งเป็นช่องทางการจัดจำหน่าย และถือเป็นกุญแจสำคัญในธุรกิจค้าปลีกนี้

ระยะเวลาเพียง 4 ปีหลังจากเปิดสาขาแรกบนถนนแจ้งวัฒนะ ในปี 2537 การขยายตัวของ BIG C ได้ดำเนินไปอย่าง ต่อเนื่องและมิได้จำกัดเฉพาะพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานครเท่านั้น หากแต่ยังรุกคืบหน้าไปสู่หัวเมืองใหญ่ในภูมิภาคต่างๆ ด้วย ก่อนที่จะเปิดสาขาในจังหวัดเพชรบุรี เป็นสาขาที่ 20 ในปี 2541 พร้อมกับการมียอดจำหน่ายสูงถึง 2 หมื่นล้าน บาทต่อปี

แต่การขยายตัวของ BIG C ดังกล่าวมิได้ดำเนินไปในสุญญากาศที่ไร้แรงเสียดทาน หากเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมีต้นทุน

ผลพวงของวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ส่งผลให้ CRC ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน BIG C ประสบปัญหาสภาพคล่องอย่างหนักหน่วง และส่งผลให้โครงการก่อสร้างสาขาแห่งใหม่ๆ ของ BIG C หลายแห่งต้องชะลอไว้ก่อน ขณะที่ในส่วนของการบริหาร BIG C ก็ประสบปัญหาการขาดทุนจากผลของภาระดอกเบี้ยเงินกู้ที่ได้นำมาใช้ในการขยายสาขาก่อนหน้านี้

การแสวงหาพันธมิตรทางธุรกิจ หรือผู้ร่วมลงทุนเพื่อรักษาสถานะของ BIG C ให้สามารถอยู่รอดต่อไป ดำเนินไปพร้อมกับการที่ CRC หันกลับไปหา Core Business ซึ่งแม้จะมีผู้ประกอบการค้าปลีกหลายรายให้ความสนใจที่จะเข้าลงทุนใน BIG C แต่ในที่สุด Casino Guichard-Perrachon บรรษัทผู้ประกอบการค้าปลีกอันดับสองของฝรั่งเศส ก็บรรลุข้อตกลงในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ BIG C จำนวน 530 ล้านหุ้นในช่วงปลายปี 2542 และกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 66% โดยมี CRC เป็นผู้ถือหุ้นเสียงข้างน้อยในสัดส่วน 13-14% และอาจกล่าวได้ว่า เป็นการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การเริ่มต้นยุคที่สองของ BIG C ใน ปัจจุบัน

วิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นดำเนินไปท่ามกลางการรุกคืบหน้าของผู้ประกอบ การจากต่างประเทศที่อุดมด้วยวิทยาการจัดการสมัยใหม่ และทุนทรัพย์ขนาดใหญ่ ไม่เว้นแม้กระทั่งธุรกิจค้าปลีก ที่ได้กลายเป็นสมรภูมิทางธุรกิจที่น่าสนใจติดตามมากที่สุดอีก แขนงหนึ่ง ไม่เฉพาะในฐานะที่เป็นกรณีตัวอย่างสำหรับการบริหารจัดการ หากแต่เพราะนี่คือธุรกิจที่มีผลกระทบต่อรากฐานทางสังคมไทยอย่างไม่อาจเลี่ยง

ธุรกิจค้าปลีกของไทย ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการจากต่างประเทศ ในฐานะที่เป็นตลาดใหม่ที่ยังมีช่องว่างของโอกาสทางธุรกิจให้ได้ตักตวงอย่างต่อเนื่อง กระแสข่าวเกี่ยวกับการลงทุนขนาดใหญ่ของบรรษัทผู้ประกอบการค้าปลีกชั้นนำระดับโลก ได้สร้างสีสันและข้อวิพากษ์วิจารณ์ต่อสาธารณชนอย่างกว้างขวาง พร้อมๆ กับความพยายามที่จะสร้างกระแสนิยมไทย และมาตรการป้องกันการล่มสลายของธุรกิจค้าปลีกไทยที่เกิดขึ้นควบคู่กันอย่างแยกไม่ออก

BIG C ภายใต้การดูแลของ Casino Guichard-Perrachon ก็ดูจะไม่สามารถสลัดหนีจากการตกเป็นเป้าโจมตีในฐานะเป็นผู้ประกอบจากต่างประเทศได้เช่นกัน และอาจเป็นข้อกังวลใจสำหรับผู้บริหารระดับสูงของ BIG C มากกว่าการต้องเผชิญกับการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการที่มีสรรพกำลังไม่ต่างกันทั้ง TESCO และ Carrefour เสียอีก

ระยะเวลาเพียง 2 ปี นับตั้งแต่ Casino Guichard-Perrachon เข้ากุมอำนาจการบริหารใน BIG C เมื่อปลายปี 2542 สถานการณ์ของ BIG C ก็กระเตื้องขึ้นอย่างรวดเร็ว ในด้านหนึ่งอาจเป็นเพราะ "ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเลวร้ายแค่ไหน ผู้บริโภค ก็จำเป็นต้องใช้สินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิต ประจำวัน" ดังที่ Yves Braibant ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ BIG C เคยกล่าวไว้เมื่อครั้งเปิดร้าน Leader Price แห่งแรกที่วงเวียนใหญ่ ซึ่งเป็นวิธีการขยายช่องทาง การจำหน่ายอีกรูปแบบหนึ่งของ BIG C เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

แต่นั่นอาจเป็นอรรถาธิบายที่ไม่ได้สะท้อนยุทธศาสตร์การบริหารและการจัดการของ BIG C มากนัก

หากพิจารณาจากยอดการจำหน่าย ของ BIG C ในปี 2543 ซึ่งถือเป็นปีแรกที่ Casino เข้ามามีอำนาจในการบริหารจัดการอย่างเต็มตัวนั้น BIG C สามารถมียอดการจำหน่ายที่เติบโตขึ้นกว่า 14.63% ก่อนที่ในปี 2544 ยอดการจำหน่ายของ BIG C จะทะลุระดับ 3 หมื่นล้านบาท ขณะที่การเติบโตของผลกำไรอยู่ในอัตราที่สูงถึง 283.68% จากเดิมที่ขาดทุน 421.2 ล้านบาทมาสู่ตัวเลขกำไรถึง 773.66 ล้านบาท และ 1,002.54 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา

สินค้าที่มีราคาถูกและหลากหลายซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่โดดเด่นของ BIG C อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ยอดการจำหน่ายของ BIG C เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงระยะเวลาเพียง 2 ปี แต่กรณีที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือแนวทางในการขยายสาขา และเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายของ BIG C ซึ่งไม่เอิกเกริกครึกโครมเหมือนผู้ประกอบการรายอื่น หากดำเนินไปอย่างค่อนข้างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพยิ่ง

ภายใต้สถานการณ์ของธุรกิจค้าปลีกที่มีการแข่งขันอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะการช่วงชิงพื้นที่ในการเปิดสาขาในแหล่งชุมชน ดูเหมือนว่า BIG C พึงใจที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะโดยตรงกับผู้ประกอบการรายอื่น ขณะเดียวกันก็ดำเนินมาตรการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายที่มีขนาดเล็กลง แต่สามารถแทรกตัวเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพแทน ดังเช่นที่ปรากฏในกรณีของ Leader Price ที่มีแผนจะขยายเป็น 50 สาขาภายในระยะเวลา 3 ปีนับจากนี้

การหันมาเพิ่มช่องทางการจำหน่ายภายใต้ชื่อ Leader Price ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในด้านหนึ่งนับเป็นการปรับตัวทางธุรกิจที่สำคัญมากประการหนึ่งของ BIG C มิใช่เพียงเพราะ Leader Price แต่ละแห่งใช้เงินลงทุนเพียงประมาณ 15-20 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนที่ต่ำกว่าการเปิดสาขาขนาดใหญ่ของ BIG C อย่างมากเท่านั้น หากแต่เมื่อพิจารณาว่าการขยายสาขาในเขตพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลนั้นอยู่ในภาวะ ที่ค่อนข้างอิ่มตัว การจะหาพื้นที่ขนาดใหญ่ในเขตเมืองเพื่อเปิดสาขาเป็นกรณีที่ทำได้ลำบากขึ้น และน่าจะมีค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างมากกว่า 1,000 ล้านบาทเลยทีเดียว

จุดที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือการเกิดขึ้นของ Leader Price ยังเป็นความเคลื่อนไหวที่สนองตอบต่อการขยายแนวรุกของผู้ประกอบการค้าปลีกรายอื่นๆ ที่หันมาให้ความสนใจรูปแบบของซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อในย่านชุมชนมากขึ้น ทั้ง TOPS และ TESCO ซึ่งนับเป็นคู่แข่งขันในธุรกิจค้าปลีกนี้โดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจระหว่าง TESCO และ ESSO ในการเปิดร้านสะดวกซื้อในสถานีบริการน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา

แต่การที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจค้าปลีกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยง่าย หากแต่ต้องระดมสรรพกำลังที่มีเพื่อสร้างเครื่องมือเกือบจะทุกรูปแบบขึ้นมารองรับการแข่งขันนี้

การเปิดร้านสะดวกซื้อในเขตชุมชน พร้อมกับการจำหน่ายสินค้า private label หรือ house brand ที่ทำให้มีราคาต่ำลง 20% เป็นเพียงส่วนหนึ่งในแผนเชิงรุกเพื่อตอบโต้คู่แข่งขันของ BIG C ในช่วงปี 2545 โดยก่อนหน้านั้น BIG C ได้ดึงกลุ่มคาฟิโน ก้า และกาสิโนแบงก์ ซึ่งเป็นพันธมิตรรายใหญ่จากฝรั่งเศส เข้ามาร่วมถือหุ้นตั้งบริษัท FLEXPAY (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อลงทุน และบริหารเกี่ยวกับบัตรเครดิตของ BIG C โดยหวังว่าจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ยอด การจำหน่ายในปี 2545 เติบโตขึ้นอีก 25% ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้

รูปแบบและวิถีการเติบโตของ BIG C ทั้งในส่วนของการออกบัตรเครดิตดังกล่าวและการเปิดร้านสะดวกซื้อ ดูจะเป็น การประกาศตัวเพื่อแข่งขันกับ TESCO LOTUS ที่โดดเด่นและชัดเจนมากกว่าช่วงใดๆ ที่ผ่านมา และนับเป็นการก้าวขึ้นมาแทนที่ Carrefour ยักษ์ใหญ่อีกรายของฝรั่งเศส ที่ได้เคยประลองกำลังกับผู้ค้าปลีกจากอังกฤษ ก่อนที่จะลดระดับ ความร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา

หากประเมินในเชิงของจำนวนสาขาที่กระจาย อยู่ทั้งในกรุงเทพฯ และใน ส่วนภูมิภาคต่างๆ ระหว่าง BIG C และ TESCO แล้วต้องยอมรับว่าอยู่ในระดับที่ไม่ได้เหลื่อมล้ำกันมากนัก เพราะต่างมีสาขาอยู่ในระดับประมาณ 30-35 แห่งใกล้เคียงกัน ขณะที่เมื่อพิจารณาศักยภาพของผู้ร่วมทุนฝ่ายไทย ทั้งตระกูลจิราธิวัฒน์ และเจียรวนนท์ ที่ต่างเคยเป็นผู้ดำเนินการ Supercenter ทั้งสองแห่งในช่วงเริ่มแรกแล้ว ก็นับว่าเป็นคู่แข่งขันที่เพียบพร้อมด้วยชั้นเชิงและประสบการณ์ทางธุรกิจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

และเมื่อนับรวมถึงศักยภาพของ TESCO และ Casino Guichard-Perrachon ที่ต่างเป็นบรรษัทผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ติดอันดับ Top 50 ของโลก ต้องยอมรับว่าสมรภูมิค้าปลีกไทยเป็นสังเวียนที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง (การจัดอันดับผู้ค้าปลีกระดับโลกของ Stores On-Line ปีล่าสุด Carrefour อยู่ในอันดับ 2, TESCO อยู่ในอันดับ 13 และ Casino Guichard-Perrachon อยู่ในอันดับที่ 32 ของโลก)

ซึ่งหากกล่าวให้ถึงที่สุด ประเด็นว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยของไทย อาจจะเล็กกว่าการตั้งคำถามว่า ผู้บริโภคชาวไทยและคนไทยจะได้ประโยชน์ อย่างไรในสถานการณ์ทางการค้าและระบบธุรกิจที่เปลี่ยนไปนี้เสียอีก

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us