หลักเกณฑ์ใหม่ในการพิจารณารับหลักทรัพย์ประกาศใช้แล้วในเดือนเมษายน สิ่งที่เปลี่ยน แปลงชัดเจน คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการเซ็นอนุญาตรับหุ้น ใหม่ และการพิจารณากระจายหุ้นโบรกเกอร์หลายรายให้ความเห็นว่าหลักเกณฑ์ใหม่มีความเจ่มชัดและคาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุน แต่ในอีกทางหนึ่งตีความได้ว่า นี่เป็นก้าวที่กระทรวงการคลังได้เข้ามามีบทบาทยึดอำนาจการรับหุ้นใหม่ไว้โดยสมบูรณ์แล้ว !!
นับแต่นี้ไปนักลงทุนจะไม่มีปัญหาเรื่องการจอซื้อหุ้นโดยไม่รู้อนาคต คือไม่รู้ว่าหุ้นตัวนั้นจะได้เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อใด จะเป็น 6 เดือนหรืออีก 9 เดือนกันแน่ เพราะหลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปลี่ยนกฎเกณฑ์การรับหลักทรัพย์ใหม่แล้ว หุ้นทุกตัวจะต้องผ่านการเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังก่อน จึงจะไปกระจายให้สาธารณชนได้ และหลังจากนั้นก็กลับไปให้รัฐมนตรีคลังอนุมัติอีกครั้ง ก็เป็นอันรับจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เลย
มันเป็นมาตรการใหม่ที่ช่วยปกป้องคุ้มครองนักลงทุนได้อย่างดี
และแน่นอนว่าเป็นมาตราการที่รวบอำนาจสูงสุดไว้ในมือรัฐมนตรีคลังแต่เพียงผู้เดียว !
ข้อความซึ่งตราไว้ใน พรบ. ตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ว่าการอนุมัติหลักทรัพย์ใหม่สามารถทำได้ "โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง" นั้น ในทางปฏิบัติจริงแล้วมีความขลังเสียยิ่งกว่า !
เงินจำนวนมหาศาลซึ่งเจ้าของบริษัทที่ยื่นขอเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ หลายรายต้องทำตก ๆหล่น ๆ แถวกระทรวงการคลัง ก็ยังคงต้องมีการตกหล่นกันต่อไป
คำกล่าวประเภทที่ว่า "รัฐมนตรีไม่ได้เงิน ไม่อนุมัติ" ยังมีล่องลอยอยู่ทั่วไปในวงการค้าหลักทรัพย์
กระนั้น เสียงวิพากษ์เชิงสร้างสรรค์ที่มีมายัง "ผู้จัดการ" คือ "ถ้าจะให้คุ้มครองกันอย่างดี และ แก้ปัญหาการพิจารณาล่าช้าตรงจุด กระทรวงการคลังต้องไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกระบวนการนี้เลยโดย เด็ดขาด !!"
ความคิดที่จะให้มีการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงกฎเกณฑ์การรับหลักทรัพย์ใหม่เกิดขึ้นนานหลายปีแล้ว แต่กว่าที่จะคลอดออกมาได้ต้องผ่านอุปสรรคมากมาย แม้เมื่อคลอดออกมาแล้วก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดด้วย
แหล่งข่าวในวงการค้าหลักทรัพย์เปิดเผย "ผู้จัดการ" ว่าเรื่องการปรับหลักเกณฑ์นี้เริ่มมีการพูดจากันมากขึ้นในสมัยที่มีนิพัทธ พุกกะณะสุต ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้เข้ามาเป็นประธานตลาดหลักทรัพย์ฯ คนใหม่ แทนที่ดร. อรัญ ธรรมโน อดีตผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ซึ่งถูกย้ายไปเป็นอธิบดีกรมสรรพากร
จังหวะนั้นเป็นช่วงที่มีข่าวการกระทบกระทั่งระหว่างคนของกระทรวงการคลังและตลาดหลักทรัพย์ฯ ตลอดเวลา ความขัดแย้งสูงสุดเกิดเมื่อมีข่าวออกมาว่า ดร. มารวย ผดุงสิทธิ์ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ เอ่ยปากขอลาออกจากตำแหน่งก่อนวาระที่ได้รับการต่ออายุจนถึงเดือนธันวาคมศกนี้
ความขัดแย้งอย่างรุนแรงในครั้งนั้นจบลงแบบไทย ๆ คือต่างเลิกรากันไป ต่างฝ่ายต่างออกมาให้สัมภาษณ์ราวกับไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งกันมาก่อน ทั้งกล่าวเน้นด้วยว่าสามารถร่วมงานกันได้อย่างดี ไม่มีปัญหา
นั่นเป็นเพียงฉากแรกของการยื้ออำนาจระหว่างกระทรวงการคลังและตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งฉากต่อ ๆ มากำลังเรียงแถวดาหน้าเข้ามาแล้ว
นิพัทธ์ พุกกะณะสุต เปิดฉากต่อ ๆ มาว่า กระทรวงการคลังควรจะเข้าไปมีบทบาทในเรื่องการ รับหลักทรัพย์ใหม่ เช่นน่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในแต่ละด้านเข้าร่วมพิจารณาการรับ หลักทรัพย์ใหม่
ครั้งนั้นมีเสียงคัดค้านกันมาก ที่สุดวีระยุค พันธุ์เพชร ผู้อำนวยการกองนโยบายตลาดทุน กระทรวงการคลังได้ออกมาปฏิเสธข่าวที่ว่าจะมีการให้ผู้เชี่ยวชาญเฉาพะด้านเข้ามาร่วมพิจารณารับ หลักทรัพย์เป็นกรณี ๆ ไปว่าไม่เป็นความจริง
วีระยุคกล่าวว่า "คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็มีบุคคลที่มาจากหลายฝ่ายที่มีประสบการณ์ในการพิจารณารับหลักทรัพย์และมีเงื่อนไขในการพิจารณาที่รัดกุม ไม่จำเป็นต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญเข้ามาร่วมพิจารณาความสามารถของคณะกรรมการฯ ก็ทำได้แล้ว"
เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ประเด็นเรื่องหลักเกณฑ์การรับหลักทรัพย์ใหม่เริ่มเขม็งเกลียวมากขึ้น บรรดานักลงทุนต่างประเทศ เรียกร้องให้กระทรวงการคลังประกาศนโยบายรับหุ้นใหม่และระยะเวลาการพิจารณาออกมาให้แจ่มชัด รวมทั้งอธิบายเรื่องขั้นตอนและปัญหาในการรับหุ้นใหม่ด้วย
ครั้นเมื่อมีการประชุมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยมีนิพัทธ เป็นประธานในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง ก็ไม่สามารถหาข้อยุติเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การรับหลักทรัพย์ใหม่ได้
แหล่งข่าวในวงการหลักทรัพย์เปิดเผย "ผู้จัดการ" ว่า "ประเด็นที่มีการพูดคุยกันแต่ไม่สามารถ หาข้อสรุปได้ คือการให้ใช้เวลาเร็วขึ้นกว่าเดิมในการพิจารณารับหลักทรัพย์ใหม่ เน้นกิจการที่มีคุณภาพ ปกป้องผลประโยชน์ของนักลงทุน และการอนุมัติหุ้นใหม่เข้ามาจดทะเบียนจะต้องให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย"
นอกจากนี้มีการนำรายละเอียดที่คณะอนุกรมการฯ ชุดก่อนทำการศึกษาไว้มาพิจารณาด้วย โดย มีการเสนอว่าควรจะปรับปรุงเงื่อนไขเกี่ยวกับมูลค่าทุนจดทะเบียน การเปิดเผยข้อมูลฐานะทางการเงินของบริษัท และการกระจายหุ้นสู่ประชาชน
สุขุม สิงคาลวณิช นายกสมาคมสมาชิกตลาดหลักทรัพย์ หรือสมาคมโบรกเกอร์ให้ความเห็นว่า "ทุนจดทะเบียนที่กำหนดไว้เดิมนั้นใช้มานานกว่า 10 ปีแล้ว ซึ่งในเวลานั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยวันละไม่กี่ล้านบาท และมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดก็มีไม่สูงเท่าในปัจจุบัน ดังนั้น ควรจะมีการเปลี่ยนแปลงได้แล้ว"
ในเรื่องการกระจายหุ้นสู่ประชาชนนั้น ปรากฏว่าคณะกรรมการฯ ต่างมีความเห็นพ้องกันแล้วว่าควรจะได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังก่อนจึงจะมีการกระจายหุ้นได้
อย่างไรก็ดี คณะกรรมการฯ ได้มีการประชุมอีก 2-3 ครั้งถัดมา ในที่สุดจึงสามารถหาข้อยุติและได้มีการประชุมชี้แจงโบรกเกอร์รอบแรกไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่งการประชุมครั้งนั้นมีผลในทางปฏิบัติทันที หมายความว่าอันเดอร์ไรเตอร์ที่ยื่นเอกสารขอนำหลักทรัพย์ใหม่เข้าจดทะเบียนต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้มารับเอกสารคืนเพื่อไปแก้ไขให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ใหม่แล้ว จึงค่อยยื่นเข้ามาพิจารณาใหม่
ก่อนหน้าที่หลักเกณฑ์ใหม่ในการรับหลักทรัพย์จะคลอดออกมาใช้นั้น สมาคมโบรกเกอร์สมัย ที่มีนายกชื่อวิโรจน์ นวลแขได้เคยตั้งคณะทำงานขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อทำ "ข้อเสนอแนวทางการพิจารณาหลักทรัพย์" เมื่อเดือนกันยายน 2532
คณะทำงานประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่ระดับบริหารจากบริษัทโบรกเกอร์สำคัญ ๆ จากกระทรวงการคลังธนาคารแห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่น วีระยุค พันธุ์เพชร, ดร. ประสาร ไตรรัตน์วรกุล, สุทธิชัย จิตรวาณิช, รศ. พิเศษ เสตเสถียร, ธรรมนูญ ดวงมณี, วิโรจน์ นวลแข, ภควัต โกวิทวัฒนพงศ์, โยธิน อารี, สุขุม สิงคาลวณิช, ปิ่น จักกะพาก เป็นต้น
เนื่องจากคณะทำงานฯ มองว่าปัญหาสำคัญในเวลานั้นคือเรื่องระบบงานซ้ำซ้อน ลำดับขั้นตอนก่อให้เกิดความสับสนและมีความไม่แน่นอน สร้างความเสียหายแก่ผู้ลงทุนอย่างมากในกรณีที่มีการจำหน่ายหลักทรัพย์หลังจากที่ได้รับอนุมัติ จากคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว แต่ต่อมาไม่ได้ รับอนุมัติจากกระทรวงการคลัง
ปัญหาเรื่องระบบงานซ้ำซ้อน ลำดับขั้นตอนก่อให้เกิดความสับสนนั้น ในเวลาต่อมาได้มีการ แก้ไขบ้างแล้ว กล่าวคือตัดขั้นตอนการยื่นคำขอพิจารณาเบื้องต้นออกทั้งหมด ให้มีแต่การยื่นคำขอพิจารณาจริงเท่านั้น
ในส่วนของการกระจายหุ้น คณะทำงานฯ มีข้อเสนอว่าหากผ่านขั้นตอนนับจากคณะอนุกรรมการฯ คณะกรรมการฯ และกระทรวงการคลังแล้วปรากฏว่าอนุมัติ แต่ยังมีการกระจายไม่ตรงตามกำหนด ก็ให้ ทำการอนุมัติโดยมีเงื่อนไขกระทรวงการคลัง
จากนั้น บริษัทที่ยื่นขอเข้าจดทะเบียนต้องทำการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์แล้วค่อยนำหลักทรัพย์ เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ หลังจากจัดจำหน่ายเสร็จสิ้นตามเงื่อนไขเรียบร้อยแล้ว
ว่าไปแล้วข้อเสนอนี้ไม่ได้ต่างจากแนวปฏิบัติที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ใช้อยู่เท่าใด
กล่าวง่าย ๆ คือตลาดหลักทรัพย์ยังทรงไว้ซึ่งสิทธิอำนาจอย่างเต็มที่ในการอนุมัติรับหลักทรัพย์ใหม่
ขณะที่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ พิจารณาสรุปผลเสนอกระทรวงการคลังนั้น เท่ากับว่าคณะกรรมการฯ ตัดสินแล้วว่าจะรับหลักทรัพย์นั้น ๆ เข้าทำการซื้อขายในตลาดฯ ได้ในอนาคต
พร้อมกับที่ส่งเรื่องให้กระทรวงการคลังพิจารณา คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ส่งเรื่อง ให้บริษัทที่ยื่นคำขอฯ ไปกระจายผู้ถือหุ้นให้ครบตามกำหนด (ในกรณีที่บริษัทนั้นยังกระจายผู้ถือหุ้น ไม่ครบ ซึ่งบริษัทส่วนมากไม่มีการกระจายผู้ถือหุ้นเพราะไม่ได้เป็นบริษัทมหาชนมาก่อน)
ขั้นตอนนี้ก่อให้เกิดปัญหามากที่สุด เพราะเมื่อมีการกระจายผู้ถือหุ้นไปแล้ว แต่กระทรวงการคลังยังไม่ยอมอนุมัติหรืออนุมัติล่าช้าก็ทำให้นักลงทุนเสียประโยชน์
ยิ่งในยุดที่ตลาดหุ้นนอกตลาดรุ่งเรือง มีนักลงทุนจำนวนมากจมเงินไปกับรายการข่าวลือ ข่าว ปั่นของการจองซื้อหุ้น แต่มาในระยะหลัง ๆ ตลาดหุ้นนอกตลาดซบเซาลง กระนั้นปัญหานี้ก็ยังไม่ได้ รับการแก้ไขอยู่ดี
อย่างไรก็ดี ข้อเสนอของคณะทำงานฯ มีข้อควรสังเกตตรงที่คณะทำงานฯ ได้เสนอเพิ่มบทบาทกระทรวงการคลังตรงที่ว่า หากกระจายหุ้นไม่เรียบร้อยตามระเบียบกระทรวงการคลังก็ไม่อนุมัติให้จดทะเบียนซื้อขายหุ้นนั้น ในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรืออาจจะอนุมัติอย่างมีเงื่อนไข แล้วแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้แจ้งบริษัทฯ นำไปดำเนินการให้เรียบร้อย แล้วตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงค่อยอนุมัติให้เข้ามาจดทะเบียนได้
ข้อเสนอประการนี้ต่างจากเดิมตรงที่ว่า เมื่อบริษัทที่ยื่นขอฯ ดำเนินการกระจายหุ้นแล้ว แจ้งต่อคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ๆ ก็แจ้งไปยังกระทรวงการคลัง เพื่อให้กระทรวงฯ พิจารณาอนุมัติ แล้วส่งเรื่องให้ตลาดฯ ได้เลย
นั่นหมายความว่าคณะทำงานฯ ก็มีแนวโน้มที่จะให้กระทรวงการคลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ในเรื่องการกระจายหุ้น ตั้งแต่กันยายน 2532 แล้ว
ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ได้เห็นด้วยในแนวทางนี้แต่อย่างใด ระเบียบปฏิบัติที่ฝ่ายบริษัทจดทะเบียนใช้ยังคงเป็นแบบเดิมมาจนกระทั่งเมษายน 2534 จึงมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
แหล่งข่าวในวงการหลักทรัพย์เปิดเผย "ผู้จัดการ" ว่าจริง ๆ แล้วผู้ที่ค้านไม่ให้กระทรวงการคลังเข้ามามีบทบาทอย่างมาก ๆ ในการพิจารณารับหลักทรัพย์ก็คือดร. มารวย ผดุงสิทธิ์ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์นั่นเอง
มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้โดยง่ายว่าทำไมตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงไม่ต้องการให้กระทรวงการคลังเข้ามายุ่งเกี่ยววุ่นวายในเรื่องนี้ เพราะนอกจากจะเป็นการดึงอำนาจการพิจารณารับหลักทรัพย์ใหม่ไปรวมศูนย์อยู่ที่กระทรวงการคลังแล้ว หลักเกณฑ์ใหม่ยังไม่ช่วยแก้ปัญหาที่ตรงจุด คือเรื่องระยะเวลาในการพิจารณา
ขณะที่ดร. มารวย คัดค้านการให้กระทรวงการคลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการพิจารณารับหลักทรัพย์ แต่กรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ คนอื่น ๆ ค่อนข้างเห็นพ้องต้องกันที่จะให้มีการเปลี่ยนกฎเกณฑ์การรับหลักทรัพย์ใหม่ในทางใดทางหนึ่ง เช่น นิพัทธ, วิโรจน์ และศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย การผลักดันเรื่องนี้จึงไม่ยากเกินกว่าจะทำได้
ช่วงที่ปัญหากฎเกณฑ์ใหม่ในการรับหลักทรัพย์กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากนั้น เป็นจังหวะ ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในคณะอนุกรรมการพิจารณารับหลักทรัพย์ฯ มีการเปลี่ยนชุดกรรมการหลายคน โดยเฉพาะวิโรจน์และโยธิน อารี ซึ่งถือเป็นคนเก่าแก่และมีประสบการณ์อย่างมากในการพิจารณารับหุ้นใหม่ ไม่ได้รับการแต่งตั้งเข้ามาใหม่ในชุดนี้
แหล่งข่าววงในเล่ากับ "ผู้จัดการ" ว่า "มันเป็นความต้องการของอาจารย์มารวยที่จะเอา 2 คนนี้ออกไป เพราะเป็นพวกที่พูดมาก ชอบซักไซ้ไล่เรียง"
โยธินดูเหมือนจะเสียใจมาก เพราะคาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ ส่วนวิโรจน์นั้นยัง มีตำแหน่งในคณะกรรมการหลักทรัพย์ฯไว้ได้ ซึ่งถือว่ายังไม่หลุดจากวงโคจรเหมือนโยธินที่ไม่ได้มีตำแหน่งใด ๆ เกี่ยวข้องกับตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกต่อไป
ทั้งวิโรจน์และโยธินถือได้ว่าเป็นคนเก่าแก่ที่รู้ระเบียบรู้ทางหนีทีไล่ของบรรดาบริษัทที่ขอยื่นเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นอย่างดี คนทั้งสองรับใช้วงการตลาดหลักทรัพย์มานานนับสิบปี ว่ากันว่าบริษัทไหนข้อมูลไม่แน่นพอ ตัวเลขไม่น่าเชื่อถือ การรายงานเกี่ยวกับผู้บริหารไม่ละเอียดพอ เป็นต้องถูกสองคนนี้ซักแหลก
วิโรจน์กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า "ผมก็สบาย ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวตรงนี้แล้ว ก็ไปว่ากันต่อในกรรมการชุดใหญ่ก็แล้วกัน"
ส่วนอนุกรรมการชุดใหม่ที่เข้ามานั้น มีคนหน้าเก่า 3 คน นอกนั้นเปลี่ยนใหม่หมด
แหล่งข่าววงในเล่าว่า "รายชื่ออนุกรรมการชุดใหม่เป็นคนหน้าใหม่ ๆ ทั้งนั้น ไม่ค่อยคล่องเรื่องหลักเกณฑ์การรับหุ้นใหม่ การประชุมครั้งแรก ๆ มีปัญหาติดขัดมากและต้องใช้เวลานาน"
จรุง หนูขวัญ ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารชาติรับผิดชอบงานด้านสถาบันการเงิน ซึ่งรวมถึงบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์และธนาคารพาณิชย์ แต่โดยส่วนมากน่าจะดูแลในแง่นโยบายมากกว่าที่จะมาซักไซ้ไล่เรียงในเรื่องคุณสมบัติของหลักทรัพย์ใหม่ นั่นหมายความว่าต้องใช้เวลาพอสมควรสำหรับการศึกษาในด้านนี้
อโณทัย เตชะมนตรีกุล รองผู้จัดการบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสิงห์ ตังทัตสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทเยื่อกระดาษสยาม ทั้งสองคนนี้นับเป็นคนใหม่ล่าสุดในอนุฯ ชุดนี้ แม้สองบริษัทจะเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดฯ แต่ไม่ได้หมายความว่าคนทั้งสองรู้กฎเกณฑ์คุณสมบัติหลักทรัพย์ใหม่ดี
ส่วนสุขุม, ดร. ชัยยุทธ ปิลันธ์โอวาท และสิริฉัตร อรรถเวทย์วรวุฒิมาจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์รายใหญ่ โดยเฉพาะมีส่วนของบงล. ที่อยู่ในเครือแบงก์กรุงเทพ 2 แห่งคือ ดร. ชัยยุทธเป็นกรรมการผู้อำนวยการอยู่ที่บงล. ร่วมเสริมกิจ และสิริฉัตรเป็นรองผู้อำนวยการที่บงล. สินเอเชีย
อนุกรรมการฯ ชุดใหม่จำเป็นที่จะต้องใช้เวลาระยะหนึ่งเพื่อทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ใหม่ในการพิจารณารับหลักทรัพย์
ว่าไปแล้วมันเป็นหมากหนึ่งที่กระทรวงการคลังรุกคืบตลาดหลักทรัพย์อย่างได้ผล คือเปลี่ยน อนุฯ ชุดใหม่พร้อมกับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ใหม่ในเวลาใกล้เคียงกัน
ล่าสุด ดร. มารวย มีดำริที่จะเพิ่มคณะอนุกรรมการพิจารณารับหลักทรัพย์ใหม่อีกชุดหนึ่ง เพื่อ ทำการพิจารณาหลักทรัพย์ได้รวดเร็วขึ้น โดยอนุฯ ชุดนี้คงมีศาสตราจารย์สังเวียนเป็นประธานฯ และมีกรรมการตลาดฯ คนอื่น ๆ เข้ามาร่วมเช่นเดียวกับชุดแรก
แต่เรื่องนี้ต้องผ่านการพิจารณาของบอร์ดตลาดก่อน
วิโรจน์กล่าวถึงความจำเป็นในการที่จะต้องปรับกฎเกณฑ์การพิจารณารับหลักทรัพย์ใหม่ว่า "มันเป็นเรื่องปกติที่ตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกจะต้องมีการตึงเครียดหรือลดหย่อนผ่อนปรนกับหลักเกณฑ์สลับกันไปตามจังหวะเวลา ในกรณีของตลาดหลักทรัพย์ไทยนั้น หลังจากที่มีการลดหย่อนก็ปรากฏว่ามีหุ้นใหม่เข้ามามาก จนถึงตอนนี้ควรจะหันมาเข้มงวดเรื่องคุณภาพมากขึ้นแล้ว"
"บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ควรเป็นกิจการขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องในการซื้อขาย มีการกระจายหุ้นสู่ประชาชนอย่างกว้างขวาง" วิโรจน์กล่าว
ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์มีกฎเกณฑ์ที่ผ่อนปรนอย่างมาก ๆ สำหรับบริษัทที่ต้องการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนซื้อขาย เช่นมีทุนจดทะเบียนระหว่าง 10 ล้านบาทถึงไม่เกิน 20 ล้านบาท มีผู้ถือหุ้นรายย่อย 50 รายถึงไม่เกิน 300 ราย มีการกระจายหุ้น 10-30% เป็นต้น
ประเด็นนี้ศิริวัฒน์ วรเวทย์วุฒิคุณ ประธานบริษัทอิควิตี้ จำกัด และเป็นนักลงทุนผู้หนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ไทย ให้ความเห็นว่า "ผมดูแล้วทุนจดทะเบียนตามหลักเกณฑ์ใหม่ก็ยังรู้สึกจะน้อยไปหน่อย ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ไทยพัฒนาจนมีมูลค่าตลาดโดยรวม (MARKET CAPITAL) ถึง 9 แสนล้านบาท การเอาบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนต่ำเข้ามาจะไม่เป็นการดีสำหรับตลาดที่พัฒนาเติบใหญ่ เพราะจะเกิดสภาพคล่องต่ำ และพวกนักลงทุนต่างประเทศก็จะดูที่ปัจจัยตัวนี้มาก หากหลักทรัพย์มีสภาพคล่องต่ำเพราะทุนน้อย เขาก็จะไม่สนใจ ผมคิดว่าตัวนี้น่าจะมีการขยายและเพื่อเป็นการป้องกันการเอาหุ้นทุนน้อยเข้ามาปั่นราคาให้สูง ๆ ในตลาดด้วย"
แต่ศิริวัฒน์ไม่ได้กล่าวชัดเจนว่าตัวเลขทุนจดทะเบียนที่เหมาะสมสำหรับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไทยควรจะเป็นเท่าไร
ทั้งนี้การกำหนดทุนจดทะเบียนในช่วง 15 ปีที่ผ่านมานั้น เป็นเพราะตลาดหลักทรัพย์ฯ มีนโยบายส่งเสริมให้บริษัทต่าง ๆ เข้ามาระดมเงินจากประชาชนโดยผ่านกลไกของตลาดฯ และเพื่อการริเริ่มพัฒนาตลาดทุนในประเทศด้วย
ครั้นปัจจุบัน เศรษฐกิจของประเทศมีการพัฒนามากขึ้นแล้ว จำเป็นที่จะต้องมีการกลั่นกรองและลดความร้อนแรงของตลาดในด้านการเก็งกำไรลงบ้าง ด้วยเหตุนี้มาตรการเฟ้นเอาเฉพาะบริษัทใหญ่ ๆ เข้าตลาดจึงเกิดขึ้น
จุดมุ่งหมายของตลาดเปลี่ยนจากการส่งเสริมให้บริษัทเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นการปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แทน ซึ่งเท่าที่ผ่านมาประเด็นนี้เป็นปัญหาต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างมาก
ปัญหาใหญ่ ๆ คือเรื่องการกระจายหุ้นอย่างไม่เป็นธรรม การย่นระยะเวลาในการพิจารณารับหลักทรัพย์การปั่นราคาหุ้นนอกตลาด ซึ่งเรื่องเหล่านี้สร้างความเดือนร้อนให้นักลงทุนจำนวนมาก และไม่สามารถหาผู้รับผิดชอบที่ชัดเจนได้
ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ เองก็ไม่สามารถหาทางแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ หลายครั้งที่นักลงทุน จำเป็นต้องฝากความหวังอย่างลม ๆ แล้ง ๆ ไว้กับกฎหมาย SEC (ร่างกฎหมายเกี่ยวกับหลักทรัพย์และธุรกิจหลักทรัพย์) ที่คาดว่าจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ราวแก้วสารพัดนึก
ศิริวัฒน์ให้ความเห็นกับ "ผู้จัดการ" ว่า "ผมคิดว่าหลักเกณฑ์ใหม่มองโดยรวมแล้วให้ ประโยชน์แก่นักลงทุนในแง่ที่ว่ามีความยุติธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะ เรื่องการกระจายหุ้น ก็เป็นการ กระจายอย่างจริง ๆ ไม่ใช่เอาชื่อญาติหรือใครมาจอง และยังให้สิทธิว่าหากตลาดฯ ตรวจสอบพบการกระจายไม่ถูกต้อง อาจยกเลิกการจัดสรรนั้นได้ นี่ก็เป็นการทำให้นักลงทุนสบายใจมากขึ้น"
ส่วนวิโรจน์ยังเห็นว่า "กฎเกณฑ์ใหม่ให้การคุ้มครองรวม ๆ แต่ตัวปัญหาหลักถือว่ายังไม่ได้ แก้เลย คือทำขั้นตอนให้สั้นที่สุด ช่วงของการนำหุ้นออกขายกับช่วงอนุมัติเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ควรเกิน 2 สัปดาห์ ไม่มีประเทศไหนในโลกที่ห่างกันถึง 45 วันอย่างในเมืองไทย ผมคิดว่าประเด็นสำคัญอันหนึ่งอยู่ที่ประสิทธิภาพของการทำงานด้วย"
วิธีแก้ไขที่จะทำให้กระบวนการสั้นลงได้นั้น วิโรจน์เสนอว่า "ทำได้โดยยกอำนาจรัฐมนตรีออกไปเสียให้สิ้นสุดที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นพอ หมายความว่าอำนาจสุดท้ายของรัฐมนตรีนี่ไม่ควรจะใช้ เพราะมันเป็นการพิจารณาตัดสินรวมหมู่มาตลอด (COLLECTIVE DECISION) พอมาถึงสุดท้ายกลับกลายเป็นคน ๆ เดียวที่จะให้หรือไม่ให้ อันนี้ควรจะยกออกไป ให้รัฐมนตรีเป็นคนแรกเลย จากนั้นตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นคนสุดท้าย"
ข้อเสนอของวิโรจน์ไม่น่าจะสบอารมณ์แต่ละฝ่าย เขาเสนอให้มีการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์การรับหลักทรัพย์ใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพตลาด ขณะเดียวกันกลับเสนอให้ยกเอาอำนาจสุดท้ายที่อยู่ ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกไป เพราะเป็นส่วนที่ทำให้ขั้นตอนการรับหลักทรัพย์ยืดเยื้อยาวนานเกินจำเป็น
แต่ข้อเสนอของวิโรจน์ไม่มีโอกาสแจ้งเกิดแล้ว เพราะได้มีการถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ใหม่ซึ่งภาพรวม ๆ ในแง่ของการคุ้มครองนักลงทุนค่อนข้างจะดี แต่สำหรับเจ้าหน้าที่อันเดอไรต์ ส่วนมากยังมีความรู้สึกก้ำกึ่ง ด้านหนึ่งเห็นด้วยว่าให้การคุ้มครองนักลงทุนดี อีกด้านหนึ่งคืองาน ของพวกเขาต้องเพิ่มมากขึ้น เพราะในกระบวนการสำคัญที่เรียกว่า ระบบสปอนเซอร์ (SPONSOR) นั้น ตลาดฯ ผลักภาระให้อันเดอไรเตอร์รับผิดชอบเป็นจำนวนมาก
สังเวียน อินทรวิชัย ประธานอนุกรรมการรับหลักทรัพย์ใหม่กล่าวชี้แจงเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ใหม่ว่า "เราได้เอาระบบที่ปรึกษาซึ่งมีที่ใช้ในอังกฤษและฮ่องกง เรียกว่าระบบสปอนเซอร์มาใช้ ให้อันเดอไรเตอร์เป็นที่ปรึกษาการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และต่อไปนี้บริษัทที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ จะต้องผ่านสปอนเซอร์ทุกราย"
สปอนเซอร์เป็นผู้ทำหน้าที่ขอแบบฟอร์มจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำข้อมูลของบริษัทฯ และเป็นผู้ติดต่อกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ตลอดเวลาที่ดำเนินเรื่องให้บริษัทฯ ทั้งนี้ตลาดฯ จะไม่ติดต่อกับบริษัทฯ โดยตรงโดยเด็ดขาด
สังเวียนเน้นว่าสปอนเซอร์จะต้องทำหน้าที่ของตนอย่างมืออาชีพ จะอ้างว่าไม่รู้ข้อมูลโน่นนี่ไม่ได้เป็นอันขาด ต้องเตรียมเอกสาร ยื่นคำขอและคอยตอบคำถามต่าง ๆ ที่อาจจะมีขึ้นได้ระหว่างยื่นขอเข้าจดทะเบียน นอกจากนี้สปอนเซอร์ยังต้องทำหน้าที่ชี้แจงให้ผู้บริหารของบริษัทฯ ได้เข้าใจความรับผิดชอบอันพึงมีของบริษัทที่ได้เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วด้วย
บริษัทที่จะทำหน้าที่เป็นสปอนเซอร์ได้คือบริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เท่านั้น โดยไม่จำกัดต้องเป็นโบรกเกอร์
สปอนเซอร์ซึ่งก็คืออันเดอไรเตอร์ ยังจะต้องคอยตรวจสอบความถูกต้องในเอกสารต่าง ๆ ที่บริษัทฯ ยื่นเข้ามาให้พิจารณาด้วย เช่น การซักถามข้อมูลทางการเงินออกจากงบการเงินให้ได้มากที่สุด ต้องศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการบริหารการจัดการของบริษัทนั้น ๆ ด้วย (QUALITY OF MANAGEMENT) ซึ่งสังเวียนเน้นว่า "แม้จะเป็นเรื่องที่ใช้ความคิดเห็นส่วนตัวเข้ามาตัดสิน แต่อันเดอไรเตอร์ก็จำเป็นต้องทำตรงจุดนี้ด้วย"
อันเดอไรเตอร์จะต้องพิจารณาขั้นหนึ่งก่อนว่าเห็นสมควรให้บริษัทที่ได้ทำการศึกษาเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ จึงจะยื่นเสนอเข้ามา ถ้าเห็นว่าไม่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมก็ต้องยอมถอนออกไป
สังเวียนกล่าวว่า "หน้าที่เหล่านี้เป็นภาระที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอผลักมาให้พวกอันเดอไรเตอร์"
นั่นหมายความว่าอันเดอไรเตอร์ที่ทำหน้าที่สปอนเซอร์ต่อไปจะมีความสำคัญอย่างมาก ๆ ในระบบนี้
บริษัทที่ต้องการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องว่าจ้างอันเดอไรต์ทำหน้าที่ สปอนเซอร์ให้ ไม่สามารถทำได้ด้วยตนเองเหมือนสมัยที่บริษัท นิวอิมพีเรียล โฮเต็ล ทำอันเดอไรต์ ตัวเองได้อีกต่อไป!
อำนาจต่อรองเรื่องการกำหนดราคาขายอาจหวนกลับมาอยู่ในมืออันเดอไรต์อีกครั้งหนึ่ง
ในส่วนของขั้นตอน หลังจากยื่นเอกสารแล้ว เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริษัทจดทะเบียนจะใช้เวลา 4-5 วัน ในการศึกษารายละเอียด แล้วจะเดินทางไปเยี่ยมชมบริษัท/โรงงาน กลับมาเขียนรายงานเพิ่มเติมจากที่อันเดอไรเตอร์ ยื่นเอกสารมา และใช้เวลาอีก 1 อาทิตย์ในการตรวจสอบ ซึ่งระหว่างนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีการติดต่อกับอันเดอไรเตอร์ตลอดเวลา
กระบวนการนี้ใช้เวลา 30 วัน หากแก้ไขข้อมูลได้ หากทำไม่ได้จะยุติการพิจารณา แล้วส่งเรื่องกลับให้อันเดอไรเตอร์ทำข้อมูลใหม่
หลังจากนั้นเรื่องจะถูกส่งต่อไปยังคณะอนุกรรมการและคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อพิจารณา โดยจะมีการเชิญผู้บริหารบริษัทและอันเดอไรเตอร์เข้าชี้แจงตอบคำถาม ขั้นตอนนี้ใช้เวลา 5 วัน
ต่อมาเป็นขั้นตอนสำคัญคือการผ่านการพิจารณาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งใช้เวลานานถึง 10 วัน และเป็นเพียง PRE-APPROVAL เท่านั้น หากผ่านก็ให้นำหุ้นไปเสนอขายได้ หากไม่ผ่านก็อาจต้องไปเริ่มขั้นตอนใหม่ซึ่งสังเวียนไม่ได้กล่าวชัดเจน
ขั้นตอนการนำเสนอขายหุ้นตามหลักเกณฑ์ใหม่ มีความรัดกุมมากขึ้น กล่าวคืออันเดอไรเตอร์ต้องทำการเสนอ (PRESENTATION) ข้อมูลรายละเอียดของบริษัทต่อบรรดานักวิเคราะห์ทางการเงินของบริษัทโบรกเกอร์ทั้งหมดรวม 40 แห่ง โดยให้ใช้สถานที่ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นศูนย์ในการชี้แจง และยังต้องทำหนังสือชี้ชวนแจกให้ผู้ลงทุนอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ก่อนกระจายหุ้น
เมื่อเรียบร้อยก็ส่งเรื่องกลับไปที่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ และกระทรวงการคลัง ซึ่งสังเวียนกล่าวว่า "ไม่น่ามีปัญหา เป็นเรื่อง FORMALITY เท่านั้น เพราะกระทรวงฯ ได้ทำการอนุมัติ ไปเรียบร้อยแล้ว"
เบ็ดเสร็จรวมระยะเวลาทั้งสิ้นประมาณ 50 วันทำการหรือ 2 เดือน
ว่าไปแล้วไม่ต่างจากเดิมนัก และไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะย่นให้เหลือ 2 อาทิตย์ที่โรจน์เสนอ !!
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการวาณิชธนกิจ บงล. นวธนกิจกล่าวแสดงความคิดเห็นกับ "ผู้จัดการ" ว่า "กฎใหม่ที่ออกมาจะไม่เหมาะแก่สปอนเซอร์บางราย แต่สปอนเซอร์ใหม่นั้น ก็อาจจะเหนื่อย เพราะกฎใหม่ต้องการคนที่มีความสามารถมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่มีทักษะในการพูดการเสนอข้อมูล มีไหวพริบในการตอบปัญหาเมื่อถูกเจ้าหน้าที่ซักถามในตอนทำ PRESENTATION"
ดร. นิเวศน์ ให้ความเห็นด้วยว่า "นอกจากการศึกษาข้อมูลการทำธุรกิจของบริษัทนั้น ๆ แล้ว ยังต้องมีการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (FEASIBILITY STUDY) ของบริษัท ศึกษาภาวการณ์แข่งขัน/ภาวะตลาดของธุรกิจนั้น ๆ อีกด้วย ซึ่งนี่เป็นการเพิ่มภาระอย่างมาก ๆ "
โดยทั่วไปคนที่ทำงานอันเดอไรต์จะมีความสามารถในการทำ FEASIBILITY STUDY น้อยกว่าคนที่ทำงานวิจัย แต่ในกรณีบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่มีกิจการธนาคารเป็นผู้สนับสนุนอยู่ก็อาจหาข้อมูลการตลาดและงานวิจัยสนับสนุนได้จากส่วนวิจัยของธนาคาร ซึ่งนี่เป็นข้อได้เปรียบอย่างมาก ๆ สำหรับ บงล. เหล่านี้
ว่าไปแล้วบริษัทที่ทำงานอันเดอไรต์ ในทุกวันนี้ก็มีอยู่ไม่เกินครึ่งของจำนวนโบรกเกอร์ทั้งหมด และเป็นโบรกเกอร์รายใหญ่ ๆ ที่มีธนาคารหนุนหลังทั้งสิ้น ส่วนโบรกเกอร์รายย่อย ๆ นั้น ก็มักจะทำอันเดอไรต์บริษัทในเครือหรือบริษัทแม่ หรือบริษัทที่ผู้บริหารมีส่วนเกี่ยวเนื่องด้วย
ผลกระทบต่อโบรกเกอร์รายเล็กที่อยากจะโตในธุรกิจอันเดอไรต์ ซึ่งมีอนาคตสดใสก็คือ ต้องเพิ่มบุคลากรที่มีประสิทธิภาพเข้ามาอีก เพื่อที่จะแข่งขันได้ในตลาดอันเดอไรต์
ทั้งนี้ มูลค่าตลาดอันเดอไรต์ เมื่อปี 2533 คาดว่าสูงกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดที่รุ่งเรืองเติบโตเร็วเสียยิ่งกว่าตลาดใด ๆ
บริษัทที่เป็นแชมป์แกนนำในการจัดจำหน่ายและรับประกัน การจำหน่ายหลักทรัพย์ในปี 2533 คือ บงล. ทิสโก้ ด้วยสถิติอันเดอไรต์หุ้นใหม่ 8 บริษัทและหุ้นเพิ่มทุน 1 บริษัท
บงล. ภัทรธนกิจติดอันดับรองลงมา คือทำอันเดอไรต์หุ้นใหม่ 6 บริษัท และหุ้นเพิ่มทุน 2 บริษัท
บล. เอกธำรงเป็นอันดับสาม ทำอันเดอไรต์หุ้นใหม่ 5 บริษัท และหุ้นเพิ่มทุน 3 บริษัท
สำหรับปี 2534 บงล. ซิตี้คอร์ป (ประเทศไทย) ซึ่งมีนโยบายรุกตลาดอันเดอไรต์ในปีนี้คว้าแชมป์สำหรับไตรมาสแรกโดยทำอันเดอไรต์ 3 บริษัท คืออิเล็กโทรนิคอุตสาหกรรม, ไทยฮีทเอ็กซเช้นจ์ และสว่างเอ็กซปอร์ต ไกรฤทธิ์ อุชุกานนท์ชัย ประธานกรรมการ บงล. ซิตี้คอร์ป (ประเทศไทย) กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า "ผมคิดว่าการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เข้มงวดเรื่องหลักเกณฑ์การรับหุ้นใหม่มากขึ้นนั้น เรา ยิ่งชอบ และผมอยากจะบอกด้วยว่าต้องบังคับกันให้เป็นตามกฎเกณฑ์ให้ได้จริง ๆ อย่าเป็นเหมือนที่ ผ่าน ๆ มา"
ประเด็นนี้เป็นที่วิจารณ์กันมากพอสมควร ดร. นิเวศน์เองก็ให้ความเห็นว่า "เท่าที่ผมดู ยังไม่เห็นบทลงโทษอะไรสักอย่าง ผมไม่แน่ใจว่าหากมีคนไม่ทำระบบสปอนเซอร์แล้ว ตลาดจะจัดการอย่างไร"
สำหรับสุรพันธ์ สุรกิตติดำรง รองประธานกรรมการวาณิชธนกิจ บงล. นครหลวง เปิดเผย "ผู้จัดการ" ว่า "ผมคิดว่าหลักเกณฑ์ใหม่ดูดีกว่าของเดิม เพราะของเดิมนั้นโดยส่วนมากกำหนดแล้วไม่ค่อยมีคนปฏิบัติตาม"
สุรพันธ์ ซึ่งเพิ่งย้ายมาจาก บงล. ศรีมิตร เพื่อมารับงานด้านอันเดอไรต์ของนครหลวง โดยตรง ให้ความเห็นอีกว่า "ส่วนของงานที่เพิ่มขึ้นตามหลักเกณฑ์ใหม่คือเรื่องการทำ PRESENTATION ซึ่งแต่เดิมจะทำหรือไม่ทำก็ได้ ไม่ได้มีการบังคับ และหากทำก็ไม่ต้องลึกซึ้งมากเท่าไหร่ แต่ตามหลักเกณฑ์ใหม่นี้บังคับและต้องมีความลึกซึ้งพอสมควร ในส่วนของงานวิเคราะห์ตลาดคู่แข่งนั้น ผมคิดว่าไม่เป็นปัญหาเพราะเราทำกันอยู่แล้ว"
ส่วน 2 บริษัทที่บงล. นครหลวง ดำเนินการยื่นคำขอเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนให้นั้น สุรพันธ์เปิดเผยว่า "ไม่มีปัญหาเราได้ไปเอาเอกสารของทั้งสองบริษัทกลับมาปรับปรุงใหม่แล้ว ซึ่งไม่ลำบากอะไรเพียงแต่แก้ไขเพิ่มเติมข้อมูล/ตัวเลขทั้งหลายให้ทันสมัยขึ้น เช่น ประมาณการที่ทำไว้เดิมต้องเอามาดูและเขียนใหม่ เพราะต้องพิจารณาผลกระทบของตลาดในด้านต่าง ๆ ด้วย และต้องดูความครบถ้วนของข้อมูลตามหลักเกณฑ์ใหม่ แต่ในส่วนของการเพิ่มทุนนั้นไม่ติดปัญหานี้"
บริษัทอีก 40 กว่ารายที่อยู่ระหว่างการยื่นขอเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงนี้ต้องดึงเรื่องกลับมาปรับแต่งข้อมูลใหม่ทั้งหมด โดยทั่วไปแล้วต้องเพิ่มเติมข้อมูลตามหลักเกณฑ์ใหม่ มี 14 รายที่ต้องแก้ไขเรื่องการกระจายหุ้น
เมื่อภาระของอันเดอไรเตอร์มีมากขึ้น นั่นหมายความว่าจะต้องมีการปรับตัวเลขค่าธรรมเนียม สูงขึ้นตามไปด้วย
โดยปกติแล้วค่าธรรมเนียมจะคำนวณจากจำนวนเงินที่ทำอันเดอรไรต์ ซึ่งอยู่ระหว่าง 3%-3.5% ของมูลค่าหุ้นทั้งหมดที่ทำอันเดอไรต์ หรือในบางรายก็คิดเป็นจำนวนเงินกันออกมาเลย ดร. นิเวศน์กล่าวว่า "แนวโน้มน่าจะคิดค่าธรรมเนียมที่แน่นอนส่วนหนึ่งเป็น FIX FEE แล้วค่อยคิดเปอร์เซนต์ จากมูลค่าหุ้นที่บริษัทนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกครั้งหนึ่งเป็น SUCCESS FEE"
กล่าวโดยรวมแล้ว การปรับหลักเกณฑ์การรับหุ้นใหม่ แม้จะไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องระยะเวลาในการพิจารณารับหุ้น ที่ยังใช้เวลานานอย่างมาก ๆ ไม่ได้ แต่ก็ช่วยให้ภาพโดยรวมของการทำอันเดอไรต์ ดูดีขึ้น
โดยเฉพาะเรื่องความชัดเจนของขั้นตอน การคุ้มครองนักลงทุนในเรื่องการกระจายหุ้น ความรัดกุมในการเปิดเผยข้อมูลระบบสปอนเซอร์ที่ช่วยกลั่นกรอง บริษัทที่มีคุณภาพเข้าตลาดฯ ขั้นหนึ่ง ก่อนมาสู่การพิจารณาของคณะอนุกรรมการฯ ฯลฯ
เหล่านี้เป็นแง่มุมที่ดี และผลกระทบสำคัญคือการยกระดับคุณภาพในตลาดอันเดอไรต์ ในแง่ของบุคลากรที่จำเป็นต้องได้คนมีฝีมือความสามารถรอบด้าน และกระบวนการกลั่นกรองคัดเลือก
แต่นี้ไป ค่าตัวอันเดอไรเตอร์ย่อมสูงขึ้นตามคุณสมบัติที่เพิ่มมากขึ้น ค่าธรรมเนียมการทำอันเดอไรต์ก็สูงขึ้นด้วย
บริษัทอันเดอไรต์จะมีบทบาทและอำนาจต่อรองอย่างมาก ๆ ในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
และแง่มุมสุดท้ายคือ กระทรวงการคลังได้ยึดอำนาจการรับหลักทรัพย์ใหม่ไปเรียบโร้ยแล้ว !
|