Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ เมษายน 2534








 
นิตยสารผู้จัดการ เมษายน 2534
คีรี กาญจนพาสน์ มังกรสะท้านบู้ลิ้ม             
โดย สุปราณี คงนิรันดรสุข
 

   
related stories

"ผมคิดว่าเมืองไทยน่าจะจัดประกวดนางงามจักรวาลนานแล้ว !"
เมื่อคีรีฝ่าขวากหนามในธุรกิจโทรคมนาคม

   
search resources

คีรี กาญจนพาสน์
Real Estate




"ชีวิตนั้น ครึ่งหนึ่งเป็นบัญชาจากสวรรค์ อีกครึ่งหนึ่งเป็นแรงลิขิตของตัวเอง"

คีรี กาญจนพาสน์แม้จะเติบโตบนกองเงินกองทองที่พ่อของเขา "มงคล กาญจนพาสน์" ได้สั่งสมสินทรัพย์ที่ดินและกิจการมูลค่ามหาศาลในเมืองไทยและฮ่องกงไว้แล้วก็ตาม แต่เขาก็ต้องการทำอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่า และน่าตื่นเต้นกว่า

คีรียังตระหนักอีกด้วยว่า ถ้าหากเขาต้องการเป็นที่รู้จักของใคร ๆ มากกว่าแค่ลูกชายองมหาเศรษฐีอย่างมงคล กาญจนพาสน์แล้วละก็ เขาควรจะออกไปสร้างความสำเร็จและเป้าหมายด้วยตนเอง งานนี้คีรีควักหัวใจออกมาพิสูจน์ !!

ด้วยความเป็นลูกชายคนที่เจ็ดของมงคลกับศิริวรรณ กาญจนพาสน์ ซึ่งมีบุตรธิดาทั้งสิ้น 11 คน คีรีเป็นลูกชายที่สนิทกับพ่อมากที่สุด ตั้งแต่อายุ 13 ปี คีรีก็ต้องจากเมืองไทยไปเรียนต่อจนกระทั่งจบ ไฮสกูลที่ รร. พุ่ยจิง เกาลูน

ช่วงเวลานั้นธุรกิจค้านาฬิกาของครอบครัวกำลังขยายตัวสูงมากทั้งในไทยและฮ่องกงปี 2506 บริษัทสเตลักช์ก็เกิดขึ้น อนันต์ซึ่งเป็นพี่ชายคนโตมีอายุห่างจากคีรี 10 ปีก็เพิ่งจบการศึกษาจากสวิตเซอร์แลนด์และเข้าช่วยดูแลกิจการบริษัทและโรงงานทำสายนาฬิกาสเตลักช์ที่ฮ่องกง

ส่วนคีรีด้วยความเกกมะเหรกเกเรของเขาในช่วงวัยรุ่นจึงเรียนจบแค่ไฮสกูล และเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 19 พ่อของเขาได้ตัดสินใจให้คีรีไปทำงานในโกดังเจียฮกเจียง และเป็น MESSENGER BOY ด้วย โดยคาดเอาว่าการฝึกฝนให้ทำงานหนักเหมือนกุลีอาจเป็นการดีสำหรับเขา คีรีได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนความรุนแรงก้าวร้าวของเขาให้กลายเป็นความดิ้นรนพยายาม ขณะที่เหล่าพี่น้องต่างได้เรียนถึงระดับมหาวิทยาลัยจากต่างประเทศ

มันเป็นหลักฐานที่แสดงเห็นชัดแล้วว่า คีรีมีแนวโน้มของความกล้าและทำให้คนอื่นรู้จักตัวเองด้วยวิธีรุนแรงแต่ความแตกต่างสำหรับตอนนี้ เขาเปลี่ยนมาใช้หัวสมองมากกว่ากำปั้น

เป็นเรื่องโชคดีสำหรับคีรี ที่กระโจนเข้ามาคลุกคลีในวงการธุรกิจการค้าของฮ่องกงตั้งแต่เยาว์วัย แม้จะถูกบังคับด้วยการเริ่มต้นเรียนรู้การทำงานหนักเหมือนกุลีก็ตามแต่พ่อของเขาก็สอนเขามากมาย เขาได้เรียนรู้ความยากซับซ้อนในธุรกิจ เรียนรู้เกี่ยวกับผู้คนที่กระตือรือร้นและเคลื่อนไหว นอกจากนี้คีรียังเรียนรู้เกี่ยวกับอำนาจและประสิทธิภาพของการทำงาน คีรีกับพ่อมีความสัมพันธ์ตามแบบแผนธุรกิจมาก

"ท่านเป็นคนสุขุม มองการณ์ไกลมากและไม่ถือตัวเราจะคุยกันแบบนักธุรกิจทุกคนมีสิทธิ์จะให้เหตุผลซึ่งต้องฟัง ผมก็ใช้ลักษณะนี้ในที่ทำงานของผม เวลานี้ท่านก็ใช้เวลาส่วนมากตีกอล์ฟส่วนนโยบายธุรกิจต่าง ๆ เราก็ปรึกษากัน" คีรีเล่าให้ฟังถึงพ่อผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังอยู่เงียบ ๆ

27 ปีที่คีรีทำงานอย่างหนักและเติบใหญ่ มีครอบครัวน่ารักกับเมียและลูกสองคนอยู่ในดินแดนมังกร ชื่อเสียงของเขาในภาคภาษาจีนว่า "หว่อง จง ซัน" เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากกว่าชื่อของพ่อเขาเสียอีก ตั้งแต่สมัยเขาเริ่มทำทีมฟุตบอล คีรีเป็นแชร์แมนของทีมฟุตบอลไซโก้ ที่เคยมาเล่นกับทีมชาติไทยเป็นการกุศลจนเก็บเงินรายได้นับสิบล้านบาทให้แก่ตำรวจชายแดน

คีรีไม่ได้มองทีมฟุตบอลในเชิงการค้าที่มีแบบแผนตายตัว แต่เขามองมันเป็นความสนุกสนานที่เขาจะหาจากมันได้ คีรีชอบกีฬาฟุตบอล แล่นเรือยอร์ชที่เขามีอยู่หลายลำที่ฮ่องกงและยังชอบกีฬาดำน้ำอีกด้วย แต่การตีกอล์ฟกลับเป็นกีฬาที่คีรีไม่นิยม ทั้ง ๆ ที่เป็นกีฬาโปรดของพ่อยิ่งนัก !!

แม้คีรีจะเลิกเป็นแชร์แมนทีมฟุตบอลมา 3-4 ปีแต่อดีตนักฟุตบอลเหล่านี้ก็ยังทำงานให้กับคีรี เช่นเป็นผู้จัดการในภัตตาคาร "TIN TIN SEAFOOD RESTUARANT" ที่มีดาราหนังฮ่องกงชื่อดังอย่างอลัน ทัม ซึ่งเป็นอดีตนักฟุตบอลก็เข้ามาถือหุ้นด้วย

"จริง ๆ แล้วเราไม่ได้ฟู่ฟ่าอะไร เรียกว่าโลว์โปร์ไฟล์มาตลอด ไม่ใช่ว่าหยิ่งหรือไม่พบคน ที่ฮ่องกงคนจะรู้จักผมมากกว่า ส่วนคุณพ่อจะเก่งเงียบ ๆ ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก" คีรีที่เพิ่งเปิดตัวเป็นข่าวต่อสาธารณชนเพิ่มขึ้นในไทยเล่าให้ฟัง

คีรีไม่ใคร่พอใจในการใช้ชีวิตส่วนตัวอย่างหรูหรานักในวัยหนุ่มเขามองหาอะไรที่จะสร้างอะไรเป็นหลักเป็นฐานเป็นบางสิ่งบางอย่างที่คุ้มค่า กับความพยายาม และสิ่งที่ดึงดูดใจเขาก็คือ ความท้าทายของการสร้างธุรกิจร้านอาหารภัตตาคารที่มีขนาดใหญ่สามารถจุลูกค้าได้ถึง 930-1,200 คนและมีสาขาจำนวนมาก ๆ ดังเช่น "TIN TIN SEAFOOD HARBOUR" และ " TIN TIN HOT POT RESTAURANTS" ซึ่งมีแหล่งซัพพลายอาหารทะเลสด ๆ จากฟาร์มของตัวเองชื่อ "SAI KUNG"

คนบางคนมีความรู้เรื่องตลาดโดยสัญชาติญานและคีรีก็เป็นคนหนึ่งในนี้ด้วย เขามีธุรกิจที่ น่าสนุกสนานและทำรายได้ให้อย่างงามในแต่ละปี นั่นคือธุรกิจการค้าและการตลาดผลิตภัณฑ์ "พูม่า" เสื้อผ้าแฟชั่นกีฬาชื่อดังระดับโลก ที่ประสบความสำเร็จเพราะการออกแบบโดยดีไซน์เนอร์ยอดเยี่ยม ของฮ่องกงอย่างมิกกี้ ลี

ถ้าสินค้าที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก แต่ไม่มีใครรู้จักมันก็คงไม่มีค่าอะไรในโลกนี้ ดังนั้นวิธีที่จะดึงดูดความสนใจและสร้างความตื่นเต้นวิธีหนึ่งก็คือ การจ้างนักโฆษณาประชาสัมพันธ์ฝีมือดีและจ่ายเงินเดือนพวกเขาสูง ๆ คีรี จ้างเอเยนซี่อย่างเดอะบอลล์พาร์ทเนอร์ชิพทำหนังโฆษณา "พูม่า" ด้วยคอนเซปท์ "LIVE THE PUMA LIFE" ที่ชนะการประกวดโฆษณายอดเยี่ยมทุกปี

โฆษณาแต่ละชิ้นของพูม่าเร้าความรู้สึกของคนได้อย่างถึงใจ เช่นหนังโฆษณารองเท้าพูม่าชิ้นหนึ่งซึ่งเปิดฉากด้วยภาพรองเท้าคู่หนึ่งวางอยู่ และมีสายไฟฟ้าสองเส้นมาจับ จากนั้นฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงปร้าง เกิดเป็นไฟวับ ๆ รองเท้าขยับลมหายใจขึ้นลงวูบ ๆ หนังจบอย่างสวยงาม

ไม่ต้องสงสัยว่ายอดขายผลิตภัณฑ์พูม่าได้พุ่งทะยานไปไม่ต่ำกว่า 235 ล้านเหรียญฮ่องกงและตลาดส่งออกในมาเก๊า ประเทศไทย ไต้หวันและสิงคโปร์ได้เติบโตเพิ่มสูงขึ้น 70% นับว่าเป็นอนาคตอันสดใสในตลาดภูมิภาคนี้

ความสำเร็จในเชิงธุรกิจที่ฮ่องกงอันเกิดจากความฝันและการทำงานหนักมากของคีรีได้ปรากฎอยู่ในความมั่นคงเป็นปึกแผ่นของบริษัท "วาเคไทย" ซึ่งมีความหมายถึง "OVERSEA THAI FOUNDATION" ที่ตระกูลกาญจนพาสน์หรือรู้จักกันในนาม WONGFAMILY ในฮ่องกงได้สั่งสมรากฐานธุรกิจไว้ (ดูตารางอาณาจักรธุรกิจของคีรีที่ฮ่องกงประกอบ)

คีรีไม่เคยให้ความสำคัญกับการค้ารายเดียวหรือเป้าหมายเพียงเป้าเดียว เพราะอะไร ๆ ก็สามารถเกิดผิดพลาดขึ้นได้เสมอแม้จะมีแผนการที่รอบคอบหรือดูมั่นคงมีหลักประกันมากเพียงใดก็ตามในตอนแรก ดังนั้นบริษัทจึงมีการแตกตัวเองจากแกนหลักด้านธุรกิจการค้าไปสู่การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กิจการโรงแรมระดับสามดาวชื่อเอเซียโฮเต็ลในแฮปปี้วัลเล่ย์และการบริหารโครงการต่าง ๆ ทั้งในฮ่องกงและกรุงเทพ

ในฮ่องกง อสังหาริมทรัพย์ที่กาญจนพาสน์เป็นเจ้าของอยู่นั้นมีจำนวนเนื้อที่ 222,893 ตารางฟุต ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นพื้นที่ของ POYIP BUILDING ซึ่งเป็นโกดังและโรงงานเนื้อที่ 116,40. ตารางฟุต ส่วนที่เหลือกระจายไปถือครองในรูปทั้งตึกบ้าง หรือบางครั้งก็ซื้อเนื้อที่ทั้ง 1-2 ชั้นก็มี อาทิเช่น MAI KWAI MANSION ที่อยู่ย่านการค้าจะมีเนื้อที่ 55,405 ตารางฟุต และ PO WING BUILDING ที่เกาลูนก็มีเนื้อที่ 32,659 ตารางฟุต และ NINLEE COMMERCIAL BUILDING เนื้อที่ 16,776 ตารางฟุต ฯลฯ

ส่วนในเมืองไทย กาญจนพาสน์นับว่าเป็นตระกูลที่ถือครองที่ดินผืนใหญ่มากที่สุดตระกูลหนึ่ง คิดเป็นจำนวนมากถึง 31,662,482 ตารางฟุต โดยเฉพาะที่ดินในโครงการ "ธนาซิตี้" แถบบริเวณทิศตะวันออกของกรุงเทพ ถนนบางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 14 มีเนื้อที่ 1,500 ไร่หรือ 30 ล้านตารางฟุต

"ตอนที่มาบริษัท วาเคไทย (ไทยแลนด์) ผมไม่ได้คิดว่าจะต้องมาทำงานที่บริษัท ธนายง เพราะว่าที่ธุรกิจที่ฮ่องกงก็ยุ่งมาก ผมคิดว่ามันเป็นจุดเปลี่ยนด้านการทำงาน" คีรีเล่าให้ฟังถึงการเข้า มาบริหารบริษัท ธนายง ซึ่งถือหุ้น 40% โดยบริษัท โปกิ โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท วาเคไทย

ปี 2531 นอกจากจะเป็นปีที่ธุรกิจพัฒนาที่ดินในไทยบูมมากที่สุดแล้ว ยังเป็นปีที่ทำให้กลุ่มตระกูล "กาญจนพาสน์" ได้หวนกลับมาสร้างความยิ่งใหญ่ในเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจการค้าที่ซบเซาลง จากผลของการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในฮ่องกงปี 2540

ปีนี้เป็นปีที่ "คีรี กาญจนพาสน์" ผู้จากเมืองไทยไปเสียนานเพื่อบริหารกิจการสำคัญของครอบครัวที่ฮ่องกง ได้กลับคืนมาตุภูมิ แต่การกลับมาเพื่อพักผ่อนครั้งนี้ สิ่งที่คีรีได้รับไม่ได้เป็นเพียงแต่การพักผ่อนอย่างเดียว

กีฬาดำน้ำและเล่นเรือเร็วที่โปรดปรานนี้ได้พาคีรีไปสู่ขุมทรัพย์กลางทะเลฝั่งตะวันออกของประเทศไทยคือที่เกาะกระดาด ที่จังหวัดตราด

เหตุผลดึงดูดใจคีรีมากที่สุดก็คือ เกาะนี้เป็นเกาะเดียวในประเทศไทยที่มีโฉนดที่เป็นเอกสารสิทธิครอบครองเกาะได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากเป็นเกาะเล็ก ๆ อยู่ในทำเลจุดยุทธศาสตร์การเมืองใกล้เขตแดนไทยกับเขมรมาก ทำให้รัชสมัยรัชกาลที่ห้าต้องมีการออกโฉนดแสดงเป็นหลักฐานต่อรัฐบาลฝรั่งเศสที่ขณะนั้นครอบครองดินแดนเขมรอยู่

เนื้อที่บนเกาะจำนวน 1,200 ไร่ มีโฉนดอยู่ 4 ใบที่ถือโดยเจ้าของเพียงคนเดียว คือชุมพล รังควร หรือ "พี่ติ่ง" ที่คีรีรู้จักสนิทสนมอย่างดี หลังจากขายเกาะกระดาดให้แก่คีรีด้วยราคา 50 ล้านบาท ชุมพลก็ไปซื้อเกาะใหม่แถบนั้นอีก เนื่องจากเป็นผู้ที่รักชีวิตทะเลมาก ๆ

แม้ในความคิดอันป่าเถื่อนที่สุดของคีรีเอง ก็คาดว่าคงไม่เคยคิดมาก่อนว่าสักวันหนึ่งเขาจะมีโอกาสได้เป็นเจ้าของเกาะเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยฝูงกวางและปลาชุม

สองปีก่อนคีรีได้ประกาศความฝันอันยิ่งใหญ่ที่จะเนรมิตเกาะกระดาดแห่งนี้ภายใต้ชื่อ "กระดาด ไอส์แลนด์ รีสอร์ท" สถานที่พักตากอากาศชายทะเลชั้นสูงที่สมบูรณ์แบบ และเพียบพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกเช่น สนามบินบนเกาะ ศูนย์สุขภาพ คาดว่าจะต้องใช้เงินประมาณ 300 ล้านเหรียญฮ่องกงหรือประมาณ 1,050 ล้านบาท โครงการนี้ได้สร้างความฮือฮาให้คนฮ่องกงกระหายอยากจะมาชมเกาะนี้มาก เมื่อดารานักแสดงยอดนิยมอย่าง อลัน ทัม และแอนนิต้า มุย ได้จับจองและถือหุ้นไว้บางส่วน

"ผมเคยคิดจะทำอย่างนั้น แต่พอมาถึงกรุงเทพแล้วคิดว่าต้องใช้เวลามากเหลือเกินในการทำธุรกิจหลายชั่วโมง ที่ตรงนั้นมันยังไม่คุ้ม" ความไม่รีบร้อนปรากฏในคำตอบของคีรี ที่ต้องการความแน่ใจเสียก่อนจะทุ่มเทเงินลงทุนนับพันล้าน และเวลาอีกหลายปีสำหรับความโปร่งใสในโครงการนี้

หลังจากการซื้อเกาะกระดาดได้ไม่นานนัก โครงการขนาดยักษ์ภายใต้การนำของคีรีก็เกิดขึ้น 17 มกราคม 2533 มีการแถลงข่าวเปิดตัวขายโครงการ "ธนาซิตี้" ที่มีมูลค่ากว่าหมื่นล้านและเปิดตัวทายาท เจ้าสัวมงคล ผู้มีบทบาทสำคัญอีกคนคือ "คีรี กาญจนพาสน์" อย่างเป็นทางการครั้งแรก พร้อมกับแนะนำทีมงานผู้บริหาร เช่น แอนดี้ ฮวง และสุธรรม ศิริทิพย์สาคร สองขุนพลคู่ใจที่มีประสบการณ์บริหารด้านนี้ร่วมกับคีรีที่ฮ่องกงมาก่อน

งานนี้นักข่าวให้ความสนใจกับคีรี กาญจนพาสน์ มากเสียกว่า ธนาซิตี้เสียอีก ?!

การตกเป็นข่าวของคีรี น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการค้า แต่คีรีก็ไม่สนใจที่จะให้สัมภาษณ์ โดยเฉพาะคีรีบอกว่าเขาไม่ค่อยชอบพูดถึงเรื่องส่วนตัว อารยา ภู่พานิช หรือ "อ้อม" ผู้ช่วยผู้จัดการ ฝ่ายบริหารของวาเคไทย ที่ทำหน้าที่เสมือนเลขาจะต้องบอกปฏิเสธคำขอประมาณ 20 ครั้งต่อสัปดาห์จากหนังสือพิมพ์ธุรกิจทุกเล่ม และเมื่อคีรีให้สัมภาษณ์สักครั้ง เขามักจะให้สัมภาษณ์สั้น ๆ ภายในเวลา 30 นาที

ถ้าหากคีรีไม่จำกัดเวลาตัวเองอย่างนี้แล้วละก็ เขาคงใช้เวลาตลอดชีวิตในการคุยกับนักข่าวเป็นแน่แท้

คีรีได้ไขกุญแจสู่ประตูความสำเร็จของธนาซิตี้ ได้อย่างรวดเร็ว ด้วยคอนเซปท์ที่กล้าเล่นกับความใฝ่ฝันของคนกรุงเทพที่อยากมีในสิ่งที่ขาด คือพื้นที่สีเขียวมาก ๆ ที่ทำให้ทัศนียภาพร่มรื่น พร้อมกับดีไซน์บ้านที่ทันสมัยน่าอยู่ และสิ่งอำนวยความสะดวกตั้งแต่สนามกอล์ฟ คลับเฮ้าส์ ศูนย์การค้าและโรงแรมบนเนื้อที่ 1,500 ไร่ กรรมสิทธิ์ที่ดินที่มงคลซื้อไว้นานร่วม 20 ปี โดยไม่มีภาระผูกพันการเงินใด ๆ กับแบงก์

ในโครงการ ธนาซิตี้นี้ มีอยู่สิ่งหนึ่งที่คีรีพลาดไปคือการต้องลดความสูงของเพรสทีจคอนโด มิเนียม 12 ทาวเวอร์ที่จะสร้างสูง 27 ชั้น 6 อาคารและสูง 22 ชั้น 6 อาคารให้เหลือเพียง 16 ชั้นเท่านั้นเอง เนื่องจากอาคารอยู่ในรัศมีทำการบิน ตามพระราชบัญญัติเขตความปลอดภัยทางอากาศของกรมการบินพาณิชย์ ในการก่อสร้างสนามบินหนองงูเห่า

แต่การพลาดบางครั้งก็ส่งผลดี คีรีได้ลงทุนเพิ่มอีก 61 ล้านบาท เพื่อสร้างอาคารขึ้นใหม่อีก 2 อาคารพร้อมสระว่ายน้ำและสนามเทนนิส รองรับลูกค้าที่ซื้อส่วนที่เกินชั้น 16 ขึ้นไปและขายได้เพิ่มขึ้นสำหรับลูกค้ารายใหม่

ในความเป็นนักธุรกิจ คีรีไม่เหมือนคนอื่นอีกจุดหนึ่งคือ การแสวงหาสินค้าที่เขาเชื่อว่ามันแตกต่างและดีกว่าคนอื่นมาขาย ถึงแม้มันจะขายได้ยาก เขาก็จะพยายามขายมันต่อไป

ยกตัวอย่างเช่นโครงการบ้านฮาบิแทท 344 ยูนิต ที่ขายคอนเซปท์ของบ้าน 100 ตารางวาจากเดิมที่ทำบ้านหนึ่งไร่ขาย แต่ครั้งนี้เน้นการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ให้สูงสุด กะทัดรัดและภายในบ้านเล่นระดับ ไม่มีหลังคาที่จะทำให้เปลืองเนื้อที่ แต่มีความเขียวขจีของสนามอยู่หลังบ้านเกือบ 50 ตารางวา ที่สามารถแลเห็นได้จากภายในบ้านที่โปร่งใสด้วยบานกระจกหน้าต่างมาก ๆ

บ้านฮาบิแทท หลังหนึ่งอยู่ระหว่าง 5.7-6.2 ล้าน โดยมุ่งเป้าหมายไปที่ครอบครัว YUPPIES คนรุ่นใหม่ช่วงอายุระหว่าง 30-40 ปี ที่มีฐานะเศรษฐกิจและสังคมสูง

แต่กำลังซื้อในตลาดตั้งแต่ต้นปีนี้มา มีสภาพซบเซา ยอดขายไม่น่าพอใจ มีการปรับกลยุทธ์การส่งเสริมการขายใหม่ ด้วยการลดเงินดาวน์ ครั้งแรกลงจาก 10% เหลือ 5% รวมทั้งยืดระยะเวลาเป็น 25 เดือน

"ปัจจุบันเราขายที่ดินก่อน แต่ว่ามีออพชั่นว่า เมื่อครบหนึ่งปี ลูกค้าต้องมาเลือกบ้านแบบใดแบบหนึ่ง เพราะในหนึ่งปี ผมจะสร้างบ้านทั้งหมดให้เห็นเป็นของจริง แต่ถ้าไม่เลือกเราก็ต้องเอาที่ดินคืน" สุธรรม ศิริทิพย์สาคร ผู้บริหารบริษัท วาเคไทย (ไทยแลนด์) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของธนายงทำหน้าที่บริหารโครงการต่าง ๆ เล่าให้ฟัง

ที่ดินราคาปัจจุบันตรงที่ธนาซิตี้ ซื้อขายกันด้วยราคาตารางวาละ 3.2 หมื่นบาท ขณะที่ปีที่แล้วราคาตกตารางวาละ 2 หมื่นบาท ซึ่งทำให้คนที่ซื้อบ้านพักอาศัยระดับสูงขนาด 1 ไร่ได้กำไรไปแล้ว

สำหรับคีรีแล้ว ธนาซิตี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่กรุงเทพ "ธนาซิตี้เชียงราย" คือความฝันใหม่ของเขาที่จะเนรมิตเนื้อที่ประมาณ 2 พันไร่ ให้เป็นรีสอร์ทพักตากอากาศ โดยเชื่อมโยงให้สิทธิแก่สมาชิก ธนาซิตี้ที่กรุงเทพ นอกจากนี้ยังสร้างบ้านพักที่อาศัยขายแก่ผู้ต้องการมีบ้านที่สองที่นี่ และโครงการโรงแรมที่คาดว่าจะดำเนินการปี 2535 ซึ่งเป็นที่สนามบินนานาชาติแห่งใหม่ มูลค่าก่อสร้าง 837 ล้านบาท ที่ตั้งอยู่ตำบลริมกกและตำบลบ้านดู่จะสร้างเสร็จ

งานไม่เคยหยุด และคีรีก็พยายามเรียนรู้จากอดีต วางแผนสำหรับอนาคต โดยการทำนายจากปัจจุบัน ความสนุกและเหน็ดเหนื่อยอยู่ตรงนี้ คีรีเป็นคนมองการณ์ไกล ขณะที่คนส่วนใหญ่มักจะคิดให้ใกล้ไว้ก่อน เพราะกลัวตัดสินใจ กลัวปัญหา และกลัวจะพ่ายแพ้ ตรงนี้เองที่ทำให้คนที่ได้รับประโยชน์ คือคีรี กาญจนพาสน์

หนึ่งในแผนการการเงินสำคัญของคีรีคือ โครงการบริษัท ธนายง ขอยื่นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หลังจากที่เพิ่มทุนบริษัทเป็น 1,100 ล้านบาท และเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือนกว่าที่ธนายงจะได้รับอนุมัติให้ทำการซื้อขายหุ้น TYONG จำนวน 9 ล้านหุ้น แก่ประชาชนทั่วไปได้ตั้งแต่ 1 มีนาคมปีนี้ ในมูลค่าหุ้นละ 133 บาท

คีรีตั้งเป้าหมายของธนายงไว้ว่า "แน่นอนบริษัทนี้ต้องเติบโต ผมต้องขยายตัว ในอนาคตเราอาจจะลงไปในด้าน HEAVY INDUSTRY แต่ตอนนี้ธนายงเป็น PURELY PROPERTY DEVELOPMENT และผมพิสูจน์ว่าผมทำได้ เพราะบริษัท วาเคไทย (โฮลดิ้ง) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในฮ่องกงได้เติบโตเป็น 9 เท่าในเวลาสองปี ไม่ใช่การปั่นหุ้น แต่เป็นเพราะกิจการและสินทรัพย์เพิ่มขึ้น"

ในปี 2532 วาเคไทย (โฮลดิ้ง) ที่ฮ่องกง ภายใต้การบริหารของคีรีมีสินทรัพย์รวม 510.5 ล้านเหรียญฮ่องกง มีรายได้ 350.3 ล้านเหรียญ จากเดิมที่มีรายได้เพียง 143.3 ล้านเหรียญและกำไร 52.2 ล้านเหรียญในสองปีที่แล้ว และเป็นที่คาดว่ากำไรในปีนี้จะได้ 132 ล้านเหรียญ เนื่องจากโครงการพัฒนาที่ดินผืนใหญ่ของบริษัทธนายงในไทย

ก่อนหน้าที่ธนายงจะเข้าตลาดหุ้นได้แนวความคิดของการออกหุ้นวอร์แรนท์ เพื่อที่จะให้ ผู้ถือหุ้นเก่าของวาเคไทยที่ฮ่องกงได้ซื้อหุ้นธนายง ครึ่งราคาจากหุ้นละ 42 เหรียญฮ่องกง เหลือเพียง 21 เหรียญ แต่ในที่สุดก็ทำไม่ได้ เนื่องจากการปฏิเสธของตลาดหุ้นฮ่องกงที่เห็นว่าธนายงขณะนั้น ยังไม่ได้เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย จึงห้ามซื้อขายหุ้นวอร์แรนท์ในตลาด เรื่องจึงเป็นอันระงับ และจ่ายเป็นเงินปันผลหุ้นละ 35 เซนต์แทน

ในเรื่องการเงิน คีรีเชื่อในการจ่ายเงินในสิ่งที่ต้องจ่าย แต่ถ้าสิ่งใดไม่ควรเสียแล้วไม่จำเป็นต้องเสีย เขาจะมีความระมัดระวังอย่างมาก คีรีได้เรียนรู้จากพ่อว่าเงินทุกบาททุกสตางค์มีค่า เพราะว่าเงินร้อยบาทอาจจะเพิ่มเป็นหมื่นเป็นแสนได้

ยกตัวอย่างการยอมจ่ายเงินให้แก่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึง 200 ล้านในมูลค่า 398 ล้านบาท ที่บริษัทสหกรุงเทพพัฒนาชนะประมูลการก่อสร้างอาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของตลาดหลักทรัพย์ฯ บนเนื้อที่ 3 ไร่ งานนี้ตลาดหลักทรัพย์ได้ตึกมาในราคาเพียง 198 ล้านบาทเท่านั้น

คีรีมีแนวคิดที่ฉลาด เขาตระหนักดีว่า ทำเลที่ดีเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความสำเร็จ แต่ถ้าหากจะโปรโมทให้โครงการ THE EXCHANGE SQUARE ยิ่งใหญ่สมใจนึกแล้ว จำเป็นจะต้องมีแม่เหล็กอย่างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นตัวดึงดูดสำคัญด้วย

มันเป็น BUSINESS DICISION ที่คีรีคิดว่าคุ้มค่าจริง ๆ เพราะคอนเซปท์ของ THE EXCHANGE SQUARE มูลค่าหมื่นล้านนี้ จะต้องเป็นธุรกิจการเงินและการค้าที่ยิ่งใหญ่มีประกอบด้วยออฟฟิศคอนโด มิเนียม 3 แสนตารางเมตร โรงแรมระดับห้าดาวและสามดาวครึ่งอีก 1,500 ห้อง อาคารพาณิชย์อีก 1 แสนตารางเมตร และที่จอดรถ 8,000 คัน

"การบริจาคครั้งนี้แล้วได้สำนักงานใหญ่ของตลาดฯ มาอยู่ในทำเลนี้ ผมคิดว่าจะดีสำหรับโครงการ THE EXCHANGE SQUARE ที่ตั้งอยู่เนื้อที่ 52 ไร่ เวลานี้มีหลายแบงก์และไฟแนนซ์ในไทยหลายแห่งสนใจ ผมอยากจะเห็นโครงการนี้เป็นศูนย์การเงินการลงทุน" นี่คือความฝันอันยิ่งใหญ่ของคีรี!!

ทำเลที่ตั้งของสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของตลาดหลักทรัพย์ฯ นี้เป็นทำเลทองใจกลางเมือง บริเวณชุมชนเทพประทาน ถนนพระรามสี่ตัดกับถนนรัชดาภิเษก ซึ่งทางบริษัท สหกรุงเทพพัฒนาของตระกูลกาญจนพาสน์ ได้เช่าจากสำนักงานทรัพย์สินทั้งสิ้น 60 ไร่ โดยมีระยะเวลาเช่า 30 ปี และต่อสัญญาได้อีกสองครั้ง ๆ ละ 10 ปี รวม 50 ปี

ขณะที่คีรีทำงานและทำงานอย่างหนักเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย อีกฟากหนึ่งของเมืองกรุงเทพ อนันต์ กาญจนพาสน์ ผู้พี่ก็กำลังสร้างโครงการยักษ์ "เมืองทองธานี" บนเนื้อที่ 4 พันไร่ บริเวณถนน แจ้งวัฒนะเช่นกัน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูประหนึ่งปีนเกลียวและแข่งขันกันทำความดีให้เข้าตากรรมการผู้เป็นพ่อ

"คีรีเป็นคนเก่ง ฉลาด และกล้าหาญ เพียงแต่ว่าเราทั้งคู่มีวิธีการทำงานที่แตกต่างกัน และขอย้ำว่าความแตกต่างไม่ใช่เรื่องไม่ดี จะเห็นว่าโครงการธนาซิตี้ก็เดินหน้าไปได้ ส่วนเมืองทองธานีก็เดินต่อไปได้ด้วยดี จะไม่มีใครเป็นหัวหอกใครอย่างเด็ดขาด" อนันต์ย้ำถึงจุดหมายหลักหนึ่งเดียวที่ทั้งคู่มีอยู่ก็คือ ทำเพื่อตระกูล กาญจนพาสน์ ภายใต้การกำกับของพ่อ

สำหรับคีรี เรื่องส่วนตัวเช่นนี้เขาเงียบ เมื่อถูกถามมาก ๆ เขาจะตอบสั้น ๆ ว่า "ผมไม่เคยเข้าไป ยุ่งกับเขาเลย เราแบ่งอำนาจความรับผิดชอบกันแล้ว"

เป็นที่ปรากฏเด่นชัดแล้วว่า สิ่งที่คีรีคิดเกี่ยวกับเรื่องที่อนันต์กำลังทำอยู่นั้น อาจจะไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยสำหรับเขาก็ได้ !!

ในบรรดาพี่น้อง 10 คนของคีรี สาครเป็นพี่ชายที่ห่างจากคีรีเพียงปีเดียว สาครเป็นคนเงียบ ๆ ทำอะไรตามสบาย ๆ และสมถะมาก ในแต่ละวันเขาจะขังตัวเองเงียบ ๆ ในออฟฟิศ ดูสัญญาลูกค้า เซ็นเช็ค สั่งงานนิด ๆ หน่อย ๆ ทุกวันนี้เขายังโสดเช่นเดียวกับชัยสิทธิ์ พี่ชายที่ดูแลกิจการศูนย์การค้าเมโทร แต่สาครช่วยอนันต์ดูแลบ้านจัดสรรในบางกอกแลนด์

ชีวิตของเขาเป็นเรื่องราวที่ตรงกันข้ามกับคีรีราวฟ้ากับดิน !!

ชีวิตเป็นเรื่องเปราะบางมาก และความสำเร็จก็เปลี่ยนแปลงมันไม่ได้ ยิ่งมีแต่จะทำให้ชีวิตมันเปราะบางมากขึ้นอีก ความน่าตื่นเต้นที่แท้จริงก้าวต่อไปอย่างระมัดระวัง นี่คือสิ่งที่คีรี กาญจนพาสน์ ตระหนักดีในการสร้างปึกแผ่นให้เกิดขึ้นในอาณาจักรธุรกิจมูลค่านับหมื่น ๆ ล้าน ที่พลาดไม่ได้แม้แต่ ก้าวเดียว !!   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us