Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ เมษายน 2534








 
นิตยสารผู้จัดการ เมษายน 2534
สนทนานักลงทุน             
 

   
related stories

กลับสู่ยุครุ่งของกลุ่มวัสดุก่อสร้างอีกครั้ง

   
search resources

Stock Exchange
อนุประสิทธิ์ ณ พัทลุง




"ต่อไปบริษัทในตลาดหุ้นจะมีคุณภาพมากขึ้น"

ตลาดหุ้นไทยได้มีแนวโน้มที่จะพัฒนาขึ้นอีกระดับหนึ่งในช่วง 1 เดือนกว่า ๆ ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีความคิดที่จะปรับปรุงระเบียบกฎเกณฑ์การรับบริษัทที่จะเข้ามาเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนและหลักทรัพย์รับอนุญาต ให้เข้มงวดมากขึ้น

แม้ระเบียบดังกล่าวจะยังไม่มีการประกาศใช้อย่างเป็นทางการแต่คนในวงการธุรกิจหลักทรัพย์หลายราย ก็ได้มีการสะท้อนแนวความคิดที่เห็นด้วยกับการปรับปรุงกฎระเบียบอันนี้

อนุประสิทธิ์ ณ พัทลุง กรรมการบริหาร บริษัทเจมส์ เคเพิล ประเทศไทย ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้

มีความเห็นอย่างไรกับการปรับปรุงระเบียบกฎเกณฑ์การรับหุ้นใหม่ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้

มันเป็นความจำเป็น เพราะภาวะการทางเศรษฐกิจของประเทศไทยเราเปลี่ยนแปลงไปมากพอสมควร เราจะเห็นได้ว่าใน 2-3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลพยายามทำทุกอย่างเพื่อที่จะบุกเบิกตลาดเงิน ตลาดทุนของเราให้พัฒนาขึ้น ซึ่งวิธีการหนึ่งก็ต้องจูงใจให้บริษัทต่าง ๆ เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ให้มากขึ้น ดังนั้นกฎระเบียบเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ต้องมีการยืดหยุ่นกันได้บ้าง ซึ่งก็ทำให้มีหลายบริษัทให้ความสนใจเข้าตลาดมากขึ้นพอสมควร ในช่วงแรกความเสี่ยงอาจน้อย เพราะยังมีบริษัทไม่มากนัก แต่เมื่อมีมากขึ้น ความเสี่ยงก็ต้องมากขึ้นตามไปด้วย บริษัทอันเดอร์ไรเตอร์ก็ยิ่งมีการแข่งขันกันมากในการเลือกบริษัทเข้าตลาดซึ่งพอมาถึงขั้นนี้ ก็จะต้องมีการปรับปรุงกฎระเบียบให้เข้มงวดมากขึ้น

จุดที่สำคัญในประเด็นที่ว่าก่อนที่บริษัทที่มีวัตถุประสงค์จะเข้าตลาดหุ้นจะสามารถกระจายหุ้นได้ ต้องให้ผ่านการพิจารณาของกระทรวงการคลังก่อนนั้น เป็นสิ่งที่ดี เปรียบไปแล้วก็เหมือนกับในตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกา ที่ต้องมีเอสอีซีเป็นผู้อนุมัติให้บริษัทสามารถขายหุ้นใหม่ให้กับประชาชนทั่วไป เพราะจะได้มีคนกลางคอยกลั่นกรองบริษัทนั้น ๆ ก่อนที่หุ้นจะตกไปอยู่ในมือของนักลงทุน นอกจากนี้ยังเป็นการลดการเก็งกำไร เพราะกฎระเบียบปัจจุบันเมื่อตลาดอนุมัติให้บริษัทกระจายหุ้นได้แล้ว จะต้องใช้เวลาพอสมควรไม่ต่ำกว่า 3 เดือน กว่าหุ้นตัวนั้นจะได้เข้ามาซื้อ-ขายกันในตลาด ซึ่งกว่าจะถึงเวลานั้นราคาหุ้นมันก็วิ่งสูงไปกว่าราคาอันเดอร์ไรท์มากแล้ว หากในช่วงที่เข้ามาภาวะตลาดไม่ดีหุ้นราคาตก นักลงทุนที่ซื้อหุ้นมาก่อนเข้าตลาดก็จะเจ็บตัว แต่หากมีกระทรวงการคลังเข้ามาเป็นผู้กลั่นกรองก่อนขั้นตอนหนึ่ง เมื่อบริษัทสามารถกระจายหุ้นได้แล้ว ก็จะใช้ระยะเวลาเพียงสั้น ๆ หุ้นตัวนั้นก็สามารถเข้าตลาด ได้แล้ว ภาวะการเก็งกำไรที่เกิดขึ้นก็จะน้อยกว่า และเป็นการป้องกันนักลงทุนไม่ให้เจ็บตัวด้วย

หลังการปรับปรุงกฎระเบียบแล้วจะมีผลต่อพัฒนาการของตลาดทุนของไทยอย่างไรบ้าง

ในด้านผลดีก็คือตลาดหุ้นของเราจะมีหุ้นใหม่ ๆ ที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดมากขึ้น นอกจากนี้ตามกฎใหม่ก่อนเข้าตลาดบริษัทเหล่านี้จะต้องมีการกระจายสัดส่วนผู้ถือหุ้น รายย่อยออกไปมากกว่าเดิม ทำให้มีจำนวนหุ้นที่เข้ามาซื้อขายในตลาดมากขึ้นฐานของตลาดหุ้นก็จะ แน่นขึ้น ก่อนหน้านี้เราเคยมีบริษัทใหญ่เข้ามา แต่ก็เหมือนกับเข้ามาแต่ชื่อ เพราะไม่มีหุ้นให้ซื้อขายกัน ซึ่งถ้าใช้ระเบียบใหม่ปัญหานี้ก็ไม่น่าเกิด

ในด้านผลลบก็มีบ้างเช่นกัน คือจำนวนบริษัทที่จะเข้ามาจดทะเบียนในตลาดใหม่ ๆ อาจจะน้อยลง 2-3 ปีก่อนเราจะเพิ่มจำนวนบริษัทในตลาดได้ปีละ 30-50 บริษัท แต่หลังจากนี้อาจจะไม่ถึง ตรงกันข้ามเรากลับจะได้บริษัทที่มีคุณภาพสูงขึ้นเข้ามาอยู่ในตลาด

โดยภาพรวมแล้ว ผมมองว่าจะเป็นผลดีกับตลาดมากกว่าเพราะถ้าได้บริษัทที่มีคุณภาพเข้ามาอยู่ในตลาด ในด้านการเปิดเผยข้อมูลกับนักลงทุนก็จะทำได้ดีกว่า ความเสี่ยงของนักลงทุนก็จะน้อยลง

ในฐานะที่ติดต่ออยู่กับนักลงทุนต่างชาติ เขาให้ความสนใจต่อการปรับปรุงกฎระเบียบครั้งนี้อย่างไรบ้าง

ผมว่าตอนนี้เขาคงจะให้ความสนใจติดตามข่าวเกี่ยวกับเรื่องอื่นมากกว่า แต่ก็มีบ้างที่คุยกันส่วนใหญ่แล้วเขามองว่าจะเป็นผลดี เพราะตลาดหุ้นบ้านเราจะได้มีบริษัทที่มีคุณภาพเข้ามาอยู่ในตลาดมากขึ้น   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us